Bluebik ประกาศปิดดีล เข้าถือหุ้นใหญ่ใน GMVPI ผู้เชี่ยวชาญระบบ SAP เสริมแกร่งบริการ Digital Transformation ครบวงจร

บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK บริษัทคอนซัลต์ชั้นนำผู้ให้บริการด้าน Digital Transformation ประกาศเข้าลงทุนใน บริษัท จีเอ็มวีพาย จำกัด (GMVPI) บริษัทที่ปรึกษาด้านระบบ SAP ครบวงจร ผ่านการเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 80 จากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและขยายขอบเขตการให้บริการที่ปรึกษาระบบ Enterprise Resource Planning หรือ ERP ไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช้ SAP ในการบริหารจัดการองค์กร หวังเพิ่มแต้มต่อในการแข่งขันสู่การเป็นที่ปรึกษาชั้นนำระดับภูมิภาค

 

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การเข้าลงทุนในบริษัท จีเอ็มวีพาย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญระดับสูงในระบบ SAP จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับบลูบิคสู่การเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation อย่างครบวงจร ช่วยขยายฐานลูกค้าของ    บลูบิคไปยังกลุ่มองค์กรที่ใช้ระบบ SAP ในการบริหารจัดการภายใน ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่พร้อมลงทุนในด้านนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการองค์กร รวมถึงต่อยอดสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ บนระบบ SAP

“ท่ามกลางกระแส Digital Transformation หลายองค์กรต่างให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาขับเคลื่อนกระบวนการทางธุรกิจต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งระบบ SAP เองก็ถือว่าเป็นระบบที่มีเสถียรภาพสูงและได้รับการยอมรับจากองค์กรชั้นนำมากมายในการนำมาใช้บริหารจัดการองค์กร บริษัทจึงตัดสินใจเข้าลงทุนใน จีเอ็มวีพาย และเชื่อว่าความเชี่ยวชาญของ จีเอ็มวีพาย จะสามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับทางบลูบิค” นายพชร กล่าว

การเข้าซื้อหุ้นของจีเอ็มวีพายในสัดส่วนร้อยละ 80 คิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาทในครั้งนี้ บลูบิคเชื่อว่านอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทฯ ยังเป็นการเสริมศักยภาพการเติบโตให้กับจีเอ็มวีพายในระยะยาว อีกทั้งจีเอ็มวีพายและบลูบิคยังมีแผนในการนำจุดแข็งของทั้งสององค์กรมาร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันใหม่ๆ บนระบบ SAP เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุค Digital Transformation ให้มากขึ้นอีกด้วย

บลูบิคเชื่อมั่นว่าแนวโน้มตลาด SAP ในประเทศไทยและเอเชียแปซิฟิกยังคงมีการเติบโตอีกมาก เนื่องจากการทำ Digital Transformation เป็นสิ่งที่องค์กรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ จึงมองหาระบบ ERP เพื่อนำมาบริหารจัดการองค์กร โดยเฉพาะระบบ SAP ถือเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่องค์กรให้ความสนใจ อีกทั้งกลุ่มองค์กรที่ปัจจุบันใช้งานระบบ SAP  อยู่แล้วต่างเร่งอัปเกรดระบบให้มีความทันสมัยมากขึ้น จึงเชื่อว่าในอนาคตจะมีลูกค้าที่ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับระบบ SAP เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ด้าน นายวรัทย์ ไล้ทอง กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้ง บริษัท จีเอ็มวีพาย จำกัด เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ดำเนินกิจการ บริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่จำนวนมากในการออกแบบและพัฒนาโซลูชันเพื่อการทำงานบนระบบ SAP และวันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริษัท ที่มีโอกาสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบลูบิค ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านการให้บริการของจีเอ็มวีพาย รวมถึงช่วยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ในหลากหลายภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัท จีเอ็มวีพาย ก่อตั้งในปี 2560 ให้บริการที่ปรึกษาด้านระบบ SAP อย่างครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบกระบวนการทำงานบนระบบ SAP (SAP Business Process Flow Design) การติดตั้งระบบ SAP (SAP Implementation) การออกแบบและพัฒนาโปรแกรมบนระบบ SAP ( SAP Customization and Enhancement) การให้ความช่วยเหลือและดูแลรักษาระบบ SAP (SAP Support and Maintenance) ตลอดจนการจัดฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบ SAP (SAP Training) โดยจุดแข็งของจีเอ็มวีพายที่มีความแตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น คือการออกแบบและพัฒนาระบบ SAP โดยเน้นการทำ Customization และ Enhancement เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้งานให้ได้มากที่สุด

จีเอ็มวีพาย ยังถือเป็นบริษัทแรกที่สามารถพัฒนาโซลูชันการเชื่อมต่อระบบ SAP เข้ากับแพลตฟอร์มของ LINE ได้สำเร็จ ซึ่งโซลูชันดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำงานบนระบบ SAP ผ่านแอปพลิเคชัน LINE ได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย จึงทำให้ จีเอ็มวีพาย กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระบบ SAP ที่ได้รับเลือกให้เป็น Developer Partner จาก LINE ประเทศไทย และยังคงร่วมงานกันอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน

กระแส Digital Transformation เป็นปัจจัยหนุนให้บลูบิคมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการตลอด 9 เดือนแรกของปี 2564 บลูบิคมีรายได้รวม 197.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.32% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 45.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.32% ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ มีการวางเป้าหมายทำรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการไม่ต่ำกว่า 30% ผ่านการขยายตัวของบริการหลักเกือบทุกกลุ่ม ได้แก่ บริการที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลแก่องค์กร บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) รวมถึงมุ่งสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากบริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) และบริการใหม่ คือ ที่ปรึกษาด้านการปรับกระบวนการทำการตลาดด้วยเทคโนโลยีและการวางกลยุทธ์การตลาดครบวงจร (Marketing Transformation & Marketing Strategy)