ดิสนีย์ (Disney) ยักษ์ใหญ่ด้านความบันเทิง ได้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2565 โดยเฉพาะการเติบโตของสมาชิก ‘Disney+’ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังไล่จี้ Netflix
ดิสนีย์ ถือเป็นบริษัทที่มีอาณาจักรความบันเทิงขนาดมหึมาตั้งแต่การผลิตภาพยนตร์ไปจนถึงสวนสนุก รวมถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง โดยผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 64 สามารถทำรายได้ถึง 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่แพลตฟอร์ม Disney+ มีผู้ใช้บริการถึง 129.8 ล้านรายทั่วโลก ซึ่งเติบโตมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ประมาณ 5 ล้านคน ส่งผลให้หุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 8%
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจสวนสนุกของดิสนีย์ในไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ทำรายได้เพียง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการสกัดโควิด ทำให้มีผู้เข้าใช้บริการสวนสนุก ยอดจองเรือสำราญและโรงแรมเพิ่มขึ้น
“การรวบรวมสินทรัพย์และแพลตฟอร์มที่ไม่มีใครเทียบได้ ความสามารถในการสร้างสรรค์ และสวนสนุกที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่าเราจะยังคงเป็นผู้กำหนดนิยามความบันเทิงต่อไปอีก 100 ปีข้างหน้า” บ็อบ ชาเพ็ก ซีอีโอของ วอลท์ ดิสนีย์ กล่าว
นอกจากนี้ บ็อบ ชาเพ็ก ยังกล่าวอีกว่า Disney+ ยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมากในสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ สวนทางกับ Netflix ที่ปิดท้ายปีด้วยสมาชิก 221.8 ล้านคน แม้จะยังเป็นจำนวนผู้ใช้ที่สูง แต่การเติบโตที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลงประมาณ 20% ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าพลังของแบรนด์ดิสนีย์ช่วยให้แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเติบโต
พอล เวอร์นา นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence กล่าวว่า “ผลลัพธ์เหล่านี้บ่งบอกปริมาณแบรนด์ที่มีเรื่องราวของดิสนีย์ และความสามารถในการก้าวขึ้นเหนือการแข่งขันในตลาดสื่อดิจิทัลที่มีผู้ใช้หนาแน่นมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Netflix เริ่มแก้เกมใหม่โดยการเน้นลงทุนไปที่โลคอลคอนเทนต์ เพื่อตอบสนองคนสนใจของผู้บริโภคในแต่ละตลาด Squid Game จากเกาหลีใต้และ Lupin จากฝรั่งเศส ส่วนดิสนีย์เองเปิดเผยว่ามีการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ประมาณ 340 เรื่อง และคาดว่าจะพร้อมฉายในอีก 18-24 เดือนข้างหน้า