ชำแหละศึกชิง ‘Warner Bros.’ ระหว่าง ‘Netflix vs. Paramount’ ผู้ชนะจะสร้างผลกระทบอะไรให้ตลาดบ้าง?

ในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูด คงไม่มีประเด็นไหนจะร้อนแรงและสั่นสะเทือนวงการไปได้กว่าการเสนอควบรวมกิจการระหว่าง Netflix กับ Warner Bros. Discovery (WBD) โดยมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Paramount/Skydance ที่ยื่นข้อเสนอเข้าชิง คำถามว่า ทางเลือกไหนจะสร้างผลกระทบในมิติไหนกันบ้าง โดยเฉพาะ คนดู อย่างเรา ๆ 

ทำไมใคร ๆ ก็อยากได้ WBD?

ถ้าใครเป็นแฟนหนังและซีรีส์ ก็คงจะรู้ว่า WBD เป็นค่ายใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1923 จนปัจจุบัน มี ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property – IP) ชื่อดังไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจักรวาล DC, จักรวาล Wizarding World: (Harry Potter), The Lord of the Rings, Game of Thrones เป็นต้น

แค่ IP ที่ WBD ถือครอง ก็ไม่น่าแปลกใจที่ใคร ๆ ก็อยากจะได้มาครอบครอง โดยเฉพาะกับ Netflix ที่เรื่องของ IP นับเป็น จุดอ่อน เมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน แน่นอนว่าที่ผ่านมา Netflix มีออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเองมากมายที่ประสบความสำเร็จ เช่น Stranger Things, The Witcher แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ IP ที่ ขลัง หรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รักของผู้ชมทั่วโลกเหมือนที่ WBD และ Disney มี

ดังนั้น การทุ่มเงิน 82,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อ Warner Bros. Discovery (เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่ง) ของ Netflix จึงเป็น ทางลัด สู่การเป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งขึ้นไปอีก เพราะการที่ได้ IP ชื่อดัง จะสามารถทำให้ Netflix สามารถแข่งขันในตลาดได้ดียิ่งขึ้น เพราะ Netflix สามารถสร้างสินค้า, เกม, และคอนเทนต์ภาคแยก (Spin-offs) จาก IP เหล่านี้ไปได้อีกนาน ช่วย ลดความเสี่ยง ในการสร้างคอนเทนต์ใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเอง

ขณะเดียวกัน Netflix ก็เหนื่อยน้อยลง เพราะถือเป็นการ ลดคู่แข่ง ไปอีกราย ซึ่งก็จะช่วยให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจากจำนวนสมาชิก HBO Max มาอยู่กับ Netflix โดยเว็บไซต์ flixpatrol คาดการณ์ว่า บริการสตรีมมิ่ง Top 4 ของโลก ได้แก่ 

  • Netflix: (302 ล้านคน)
  • Amazon Prime Video: (200 ล้านคน)
  • Disney+: (131 ล้านคน)
  • HBO Max: (128 ล้านคน) 

นอกจากนี้ Netflix เชื่อว่าการควบรวมจะทำให้การทำงานดีขึ้น เนื่องจากการรวมบริการสตรีมมิ่งที่ทับซ้อนกัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถประหยัดต้นทุนการดำเนินงานได้สูงถึง 2-3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายในปีที่สามหลังปิดดีล

เช่นเดียวกับ Paramount Skydance ที่ก็ต้องการ IP ของ Warner Bros. เพื่อเสริมแกร่งให้สามารถแข่งขันกับผู้เล่นยักษ์ใหญ่รายอื่น เพราะอย่าง Disney ก็ถือว่าเป็นคู่แข่งสุดแกร่ง เพราะมีทั้งเจ้าหญิงดิสนีย์, จักรวาล Marvel และ Star wars อยู่ในมือ ซึ่งนั่นทำให้ Paramount ถึงทุ่มเงินมหาศาลและตัดสินใจยื่นข้อเสนอแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Bid) ในมูลค่าถึง 1.084 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซื้อทั้งบริษัท (ไม่ได้ซื้อแค่เฉพาะส่วนสตูดิโอและสตรีมมิ่งเหมือน Netflix)

และที่ข้อเสนอของ Paramount คือ ซื้อทั้งบริษัท เป็นเพราะ Paramount ยังมองเห็นมูลค่าในสินทรัพย์สายเคเบิลของ WBD (เช่น CNN, Discovery Channel, TNT) อยู่ แม้ว่าธุรกิจนี้จะกำลังหดตัว แต่ยังคง สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) ที่ดี ซึ่งจำเป็นต่อการสนับสนุนธุรกิจสตรีมมิ่งที่ยังต้องลงทุนสูง

นอกจากนี้ Paramount เชื่อว่าการซื้อทั้งหมดและบริหารจัดการสตูดิโอ, สตรีมมิ่ง, และเคเบิลไปพร้อมกัน จะช่วยให้เกิดการประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้มากกว่าการแยกธุรกิจเคเบิลออกไป

Warner Paramount

Netflix ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ความกังวลแรกหาก Netflix ได้ WBD ไปก็คือ ระยะเวลาฉายโรง แม้ว่า Netflix จะยืนยันว่าจะรักษาการดำเนินงานปัจจุบันของ Warner Bros ไว้ โดยเฉพาะการออกฉายภาพยนตร์ในโรง แต่ที่คนในอุตสาหกรรมกังวลก็คือ Windowing หรือระยะเวลาในการฉายหนังในโรงก่อนจะเข้าสู่ระบบสตรีมมิ่ง

เพราะที่ผ่านมา เครือข่ายโรงภาพยนตร์เคยร้องขอระยะเวลาขั้นต่ำไว้ที่ 45 วัน แต่หาก Netflix เข้ามามีบทบาท อาจบีบให้ระยะเวลาดังกล่าวสั้นลงเหลือเพียง 17 วัน ซึ่งผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์เกรงว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อรายได้

ในแง่ของ คนทำงาน คนในอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งรู้สึก สบายใจกว่า เพราะ Netflix เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเป็นหลัก ส่วน WBD เป็นสตูดิโอผู้ผลิตคอนเทนต์ การรวมกันจึงเป็นการ ต่อเติม กิจการ ไม่เกิดความซ้ำซ้อนของตำแหน่งงานมากนัก

ส่วน แฟนสตรีมมิ่ง กลุ่มนี้จะ ได้ประโยชน์สูงสุด เพราะคอนเทนต์จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แต่ก็ยังไม่แน่ว่า ราคาจะสูงขึ้น หรือไม่ เพราะมีทางเลือกน้อยลง (หลัก ๆ ก็ Disney+, Prime Video และ Apple TV)

Paramount ได้ไปจะเกิดอะไรขึ้น

ถ้า Paramout ได้ไป เป็นสิ่งที่ คนทำงาน รู้สึกว่า น่ากังวลที่สุด เพราะทั้ง Paramount และ WBD ต่างเป็นสตูดิโอภาพยนตร์ที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน การรวมกันจะทำให้เกิด การซ้ำซ้อน ของตำแหน่งงานอย่างมหาศาล ซึ่งคาดการณ์กันว่า หาก Paramount ควบรวมสำเร็จ จะสามารถประหยัดเงินได้ถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า ส่วนใหญ่มาจากการ ปลดพนักงาน ในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนทิ้งไป

อีกความกังวลก็คือ นัยยะทางการเมือง เนื่องจากข้อเสนอของ Paramount นำโดย เดวิด เอลลิสัน (David Ellison) ซึ่งถูกมองว่า ไม่โปร่งใส และมี นัยยะทางการเมืองสูง เพราะในขณะที่แหล่งเงินทุนของ Netflix มาจากเงินสด กับหุ้น Netflix ที่จะเอามาแลก แต่แหล่งเงินทุนของ Paramount  มาจากกลุ่มเงินทุนจากซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และกลุ่มกองทุนที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด นอกจากนี้ ยังมีการดึงตัว จาเร็ด คุชเนอร์ (ลูกเขยของโดนัลด์ ทรัมป์) เข้ามาช่วยล็อบบี้อีกด้วย

ทำให้นักวิเคราะห์ชี้ว่า เอลลิสันไม่ได้ต้องการแค่บริษัทผลิตภาพยนตร์ แต่ต้องการใช้ WBD เป็น เครื่องมือสร้างอิทธิพลและอำนาจสื่อ ในการต่อรองทางการเมือง และช่วยหาเสียงให้กับพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันจำนวนมากกังวลว่าอาจส่งผลเสียต่อภูมิทัศน์สื่อโดยรวม

ในมุมของอุตสาหกรรมจ ลดความเสี่ยงการผูกขาดสตรีมมิ่ง เนื่องจาก Netflix เป็นผู้นำตลาดสตรีมมิ่งอยู่แล้ว การเข้าซื้อ HBO Max จะยิ่งทำให้ Netflix มีส่วนแบ่งตลาดสูงขึ้น ขณะที่การรวม Paramount และ HBO Max ต่างก็เป็นบริการสตรีมมิ่งที่มีขนาดเล็กกว่า Netflix และ Disney+ ดังนั้น การรวมตัวกันของทั้งสองบริษัทจึงถูกมองว่าเป็นการ เพิ่มการแข่งขัน ในตลาด แทนที่จะเป็นการผูกขาด

อีก 2 ปีดีลถึงจะจบ

อย่างไรก็ตาม การควบรวมครั้งนี้ยังต้องรอดูผลภายในกรอบเวลาประมาณ 2 ปี (ก่อนปี 2027) รวมถึงต้องมาลุ้นกันว่าจะได้รับการอนุมัติจากฝั่งกำกับดูแลเรื่องการ ผูกขาด หรือไม่ เพราะถ้าเป็นฝั่ง Paramount อาจไม่น่ากังวลเท่ากับทาง Netflix 

แม้ว่าทาง Netflix จะพยายามย้ำว่า ไม่อยากให้มองว่า Netflix ต้องสู้แค่ในตลาดสตรีมมิ่ง แต่กำลังอยู่ในตลาด Media Consumer Market เพราะนอกเหนือจากแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ลงทุนกันมหาศาลแล้ว ยังมีแพลตฟอร์มอื่น ๆ ที่มาแย่งชิงเวลา ไม่ว่าจะเป็น YouTube, TikTok, และโซเชียลมีเดียอื่น ๆ อีก

แล้วแฟน ๆ เชียร์ให้ใครได้ WBD ระหว่าง Netflix หรือ Paramount 

AP / finance.yahoo / bbc / flixpatrol / latimes / truthonthemarket / theguardian