‘เทสลา’ (Tesla) รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี โดยผลกำไรเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาถึง 7 เท่า ถือว่าทำได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปัจจัยจากยอดขายที่แข็งแกร่ง แม้ว่าซัพพลายเชนทั่วโลกจะมีปัญหาและการลดการผลิตในจีนก็ตาม
รายได้ไตรมาสแรกของเทสลาปิดที่ 1.87 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 81% และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.78 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้แรงหนุนจากการขึ้นราคาหลายครั้งเพื่อชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลิเธียม นิกเกิล โคบอลต์ และโลหะมีค่าอื่น ๆ ที่ใช้ทำแบตเตอรี่ ขณะที่ผลกำไรทำได้ 3.3 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดยเทสลาส่งมอบรถยนต์สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 310,000 คันทั่วโลกในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นประมาณ 68% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา และส่งมอบรถยนต์ 185,000 คันในไตรมาสแรกของปีที่แล้ว โดยปีที่แล้ว เทสลาทำสถิติส่งมอบรถยนต์ 936,000 คัน เพิ่มขึ้น 87% จากปี 2020
แม้จะมีปัญหาด้านการผลิตและซัพพลายเชนของจีน แต่เทสลายังย้ำถึงแนวทางการเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปีในการส่งมอบรถยนต์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่บริษัทเคยกล่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าคาดว่าจะส่งมอบรถยนต์ได้ประมาณ 1.4 ล้านคันในปีนี้
อย่างไรก็ตาม การจะปิดรายได้ในช่วงปลายปีให้เหมือนกับช่วงต้นปีอาจเป็นเรื่องยาก เพราะบริษัทกำลังเผชิญกับต้นทุนจากการเปิดโรงงานใหม่ในเยอรมนีและเท็กซัส รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังพิจารณาถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทสตาร์ทอัพและผู้ผลิตรถยนต์รุ่นก่อน ๆ ได้เปิดตัวโมเดลไฟฟ้ามากขึ้น
ทั้งนี้ เทสลาได้เปิดเผยถึงในส่วนของการผลิตว่า การผลิตประจำสัปดาห์สำหรับไตรมาสนี้แข็งแกร่ง แต่กรณีของ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้นทำให้โรงงานในเซี่ยงไฮ้ต้องปิดชั่วคราว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนของเทสลา และแม้ว่าการผลิตที่โรงงานในเซี่ยงไฮ้เพิ่งเริ่มต้นใหม่ แต่บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และแม้ว่าการผลิตจะเริ่มที่โรงงานในเท็กซัสและในเยอรมนีแล้ว แต่โรงงานของบริษัทมีกำลังการผลิตต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากการขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่