‘กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชน’ ร้องแบรนด์คว่ำบาตร ‘Twitter’ หาก ‘มัสก์’ ปล่อยเสรีจนมีแต่ ‘Toxic’ ทวีต

หลังจากปิดดีลมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ของ อีลอน มัสก์ เพื่อซื้อ ทวิตเตอร์ (Twitter) แพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยมของวัยรุ่น ซึ่งมัสก์ก็ได้ออกมาพูดถึงสิ่งที่เขาอยากเปลี่ยนแปลงก็คือ การลดการควบคุมเนื้อหาให้เหลือน้อยที่สุดตามกฎหมาย เพื่อให้เสรีที่สุด ซึ่งกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนก็ออกมาแสดงความกังวลว่าจะเปิดช่องให้มีแต่คำพูดแสดงความเกลียดชัง

ก่อนหน้าที่มัสก์จะกลายเป็นเจ้าของ Twitter เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์ Twitter เกี่ยวกับการกลั่นกรองความเห็นต่าง ๆ พร้อมระบุว่า เขาต้องการให้ Twitter ต้องเป็นพื้นที่ที่แท้จริงสำหรับการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ ดังนั้น เขาจึงต้องการเปิดเผยอัลกอริธึมที่รันบนทวิตเตอร์ และหลังจากที่เขาซื้อแพลตฟอร์มสำเร็จ มัสก์ได้ระบุว่า เรื่องทำให้แพลตฟร์มมีเสรีในการทวีตจะเป็นเรื่องแรก ๆ ที่เขาจะทำ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้แบรนด์ออกมาคว่ำบาตร Twitter หากแพลตฟอร์มภายใต้ผู้นำอย่าง อีลอน มัสก์ ลดการคุมเนื้อหาจนนำไปสู่ข้อความ Toxic หรือการให้ข้อมูลผิด ๆ บนแพลตฟอร์ม โดยหวังว่าแบรนด์ที่ลงโฆษณาในแพลตฟอร์ม จะช่วยกระตุ้นให้ Twitter รักษานโยบายการดูแลเนื้อหาให้เป็นเงื่อนไขการทำธุรกิจกับแพลตฟอร์ม

“แบรนด์ของคุณมีความเสี่ยงที่จะเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มที่ยิ่งเพิ่มความเกลียดชัง ความคลั่งไคล้ ข้อมูลที่ผิด ๆ โดยเฉพาะเรื่องทฤษฎีสมคบคิด” เนื้อหาข้อความในจดหมายเปิดผนึกที่ลงนามโดยกว่า 24 กลุ่ม อาทิ Media Matters, Access Now และ Ultraviolet

Twitter ทำรายได้ส่วนใหญ่จากโฆษณา และอาจได้รับผลกระทบจากปฏิกิริยาของผู้ลงโฆษณาต่อเนื้อหาที่โพสต์บนแพลตฟอร์มได้ โดยรายรับจากโฆษณาที่ Twitter เพิ่มขึ้น 16% เป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด ขณะที่รายรับจากการสมัครสมาชิกและวิธีการอื่น ๆ ลดลงเหลือ 94.4 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม มัสก์ มีแผนที่จะทำรายได้จากส่วนอื่นมากกว่าแค่รายได้จากโฆษณา แต่นักวิเคราะห์หลายคนยังสงสัยว่าผู้ใช้ Twitter จะแห่กันไปจ่ายเงินเพื่อซื้อเนื้อหาหรือคุณสมบัติระดับพรีเมียม เช่น การรีทวีตโพสต์ เพื่ออะไร ในเมื่อแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook นั้นให้ใช้ฟรี

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม มีคนใช้ Twitter เฉลี่ย 229 ล้านคนต่อวัน เพิ่มขึ้นเกือบ 16% จากช่วง 3 เดือนแรกของปีที่แล้ว ขณะที่บัญชีสแปมหรือแอ็คหลุมมีไม่ถึง 5% ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของผู้ใช้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสงครามในยูเครน เนื่องจากมีผู้ใช้บริการเพื่อค้นหาข่าวสารและการสนับสนุน

Source