กาง 3 กลยุทธ์บุกตลาดคลาวด์ของ ‘AWS’ ชิงส่วนแบ่ง 4 หมื่นล้าน

ตั้งแต่ทั่วโลกเจอการระบาดของ COVID-19 องค์กรธุรกิจก็ตื่นตัวเรื่องการทรานส์ฟอร์มมากขึ้น ส่งผลให้เทคโนโลยี ‘คลาวด์’ เติบโตขึ้นไปตาม ๆ กัน โดยข้อมูลจากการ์ทเนอร์ระบุว่า ตลาดคลาวด์ในไทยมีมูลค่าถึง 4 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาถึง 36.6% ด้วยอัตราการเติบโตดังกล่าวทำให้ผู้ให้บริการระดับโลกอย่าง AWS หรือ Amazon Web Services ก็ได้ออกมาเปิดเผยถึงแผนในการรุกตลาดไทยเพื่อชิงความได้เปรียบในตลาด

แม้ว่า AWS จะให้บริการในไทยมานานถึง 6 ปี และมีการลงทุนต่อเนื่อง แต่เพราะการเติบโตของตลาดทำให้ปีนี้ AWS จะลงทุนเปิด AWS Local Zone ภายใน 24 เดือน เพื่อต่อยอดบริการด้านการเชื่อมต่อของอุปกรณ์ Edge กับคลาวด์ โดยไทยจะถือเป็น 1 ใน 16 เมืองทั่วโลกที่เปิด และภายใต้การนำของ ‘วัตสัน ถิรภัทรพงศ์’ อดีตผู้บริหารซิสโก้ มาเป็นผู้จัดการประจำประเทศไทย ก็ได้เปิดเผยถึง 3 ทิศทางของ AWS ในการรุกตลาดจากนี้

เพิ่มทีมเฉพาะทางรองรับความต้องการ

เนื่องจากการเติบโตของตลาดที่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ไปจนถึง SME และสตาร์ทอัพ ดังนั้น AWS จะเพิ่มทีมที่หลากหลายมากขึ้นในไทย โดยบริษัทจะเพิ่มทั้งทีมด้านการขาย ด้านเทคนิค การบริการระดับมืออาชีพ และ solution architect รวมถึงทีม Digital Native Business (DNB) ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มยูนิคอร์นที่กำลังเติบโตในประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการเพิ่มทีมภาครัฐมาโดยเฉพาะ โดยได้ช่วยดูเรื่องการพัฒนาแพลตฟอร์ม ‘หมอชนะ’

เพิ่มพาร์ตเนอร์ตัวแทนจำหน่าย

ที่ผ่านมา AWS จะเน้นขายบริการต่าง ๆ ผ่านตัวแทนจำหน่ายในไทย ปัจจุบันมีเครือข่ายพาร์ตเนอร์กว่า 7,000 ราย แต่ในปีนี้ AWS จะเน้นขายตรงด้วยตัวเองมากขึ้น ควบคู่กับการเพิ่มพาร์ตเนอร์เครือข่าย ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่ม SME และลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้น

“ที่ผ่านมา เราเจอว่าองค์กรมีปัญหาเรื่องคนที่มีไม่พอ ทำให้เขาเลือกจะใช้คลาวด์เพื่อช่วยลดภาระ เพราะไม่ต้องจัดหาคนดูแลระบบ ไม่ต้องจ้างฝ่ายไอทีไปเน้นด้านบิสซิเนสมากกว่าไปดูเรื่องเซิร์ฟเวอร์ว่ามีปัญหาหรือไม่ ส่วนที่บางองค์กรยังไม่ย้ายไปคลาวด์เพราะความเข้าใจ เราเลยต้องช่วยลูกค้าเพิ่มทักษะกับความรู้”

เตรียมลูกค้าให้ใช้คลาวด์ได้ดียิ่งขึ้น

เนื่องจากตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะโฟกัสการใช้คลาสด์แค่ แทนที่เซิร์ฟเวอร์ หรือใช้แค่ เก็บข้อมูลเป็นหลัก หรือคิดเป็นถึง 95% เลยทีเดียว ดังนั้น AWS จะช่วยให้ลูกค้าก้าวข้ามการใช้งานแบบพื้นฐานไปสู่ขั้นต่อไปก็คือ Modernization หรือการวางแผนใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

เมื่อลูกค้าได้ใช้ระบบคลาวด์ได้ 2-3 ปี AWS จะช่วยวางแผนที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงขึ้น เช่น การพัฒนาแอปบนคลาวด์ช่วยลดการใช้อินฟราสตรักเจอร์ เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น หรือการใส่เอไอ แมชชีนเลิร์นนิ่งเข้าไปขั้นเบื้องต้น และส่วนสุดท้าย ด้าน ความยั่งยืน และ Intelligent Service เช่น การใช้คลาวด์เพื่อลดการใช้พลังงานให้น้อยที่สุด หรือการพัฒนาฟีเจอร์เฉพาะเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ด้านการแพทย์ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

เรามองว่าการแข่งขันเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งเราก็มั่นใจว่า AWS เป็นผู้นำตลาดโดยมีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ได้ครอบคลุมที่สุด มีฐานลูกค้าครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม และมีเครือข่ายพาร์ตเนอร์ครอบคลุมหลายแสนรายทั่วโลก