สหภาพยุโรป (EU) อนุมัติให้ยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 ใน 27 ประเทศ เพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้เสนอครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งหมายถึงการหยุดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล
นอกจากจะมีการยุติการขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในปี 2035 แล้ว สหภาพยุโรปยังมีการอนุมัติให้มีการติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าทุกๆ 60 กิโลเมตรอีกด้วย ขณะเดียวกันถ้าหากยังมีผู้ใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปอยู่ก็จะโดนอัตราภาษีสูงที่สุดของในแต่ละประเทศ
สำหรับนโยบายดังกล่าวนั้นมีการต่อสู้ในรัฐสภายุโรปมาแล้ว โดยนักการเมืองฝ่ายแรกมองว่าควรที่จะแบนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป 100% ภายในปี 2035 ขณะที่นักการเมืองอีกฝ่าย ซึ่งมาจากประเทศที่มีอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์กลับมองว่ายุโรปควรจะแบนเพียงแค่ 90% เท่านั้น และให้ความเห็นว่าผู้บริโภคควรที่จะเลือกได้ว่าอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป
มาตรการดังกล่าวที่ EU ต้องมีการผลักดันออกมา ส่วนหนึ่งนั้นมาจากแรงกดดันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศจีน รวมถึงสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ในสหภาพยุโรปมีการเร่งให้หลายประเทศเลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น เพราะไม่งั้นแล้วจะไม่สามารถต่อสู้ได้
Agnes Pannier-Runacher รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของฝรั่งเศส ได้ออกมากล่าวว่า “นี่เป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของทวีปยุโรป” และเธอยังได้เสริมว่า “ด้วยข้อตกลงดังกล่าวนี้ ยุโรปกำลังจะเป็นผู้นำในด้านการจัดการด้านสภาวอากาศ”
อย่างไรก็ดี คำขอของประเทศต่างๆ รวมถึงเยอรมนีและอิตาลี สหภาพยุโรปยังตกลงที่จะพิจารณาอนุญาตสำหรับการใช้เทคโนโลยีทางเลือกในอนาคต เช่น เชื้อเพลิงสังเคราะห์หรือระบบไฮบริด หากพวกแต่ละประเทศสามารถกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ EU ยังได้อนุมัติขยายเวลา 5 ปี ให้กับผู้ผลิตรถยนต์ “เฉพาะกลุ่ม” หรือผู้ผลิตรถยนต์น้อยกว่า 10,000 คันต่อปีจนถึงสิ้นปี 2035 ซึ่งข้อกำหนดนี้จะทำให้หลายฝ่ายมองว่าผู้ผลิตรถยนต์หรูที่มีฐานการผลิตในยุโรปหลายยี่ห้อนั้นประโยชน์จากข้อยกเว้นนี้