“เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม” สยายปีกโตก้าวกระโดด รุกธุรกิจครอบคลุมกว่า 700 สาขา ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในเวียดนาม

มร. โอลิวิเยร์ แลงเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม กล่าวว่า “หลังจากเซ็นทรัล รีเทล ได้ปูพรมเดินหน้าปักหมุดการลงทุนในประเทศเวียดนามตั้งแต่ช่วงต้นปี 2555 ปัจจุบันได้แผ่ขยายศักยภาพและสร้างรากฐานที่มั่นคงในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน สังคม และเศรษฐกิจของชาวเวียดนามอย่างยั่งยืน จนวันนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเซ็นทรัล รีเทล ได้มุ่งสู่ความสำเร็จไปอีกขั้นของการเติบโตที่ก้าวกระโดดในตลาดเวียดนามอย่างแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสให้กับธุรกิจ ตอกย้ำการเป็นผู้นำค้าปลีกต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม”

แนวโน้มการเติบโตตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม มีการไต่ระดับของรายได้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมาจากศักยภาพทางเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยล่าสุด GDP ไตรมาสที่ 3 เติบโตถึง 13.67%  ประกอบกับการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 ในประเทศเวียดนาม ทำให้ผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจนยอดทราฟฟิกของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ยอดขายในเวียดนามคิดเป็น 26% ของยอดขายเซ็นทรัล รีเทลทั้งหมด จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้คาดว่าภายในปี 2569 เซ็นทรัล รีเทล เวียดนาม จะสามารถกวาดรายได้ 1 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน

สำหรับโรดแมปที่ เซ็นทรัล รีเทล ได้ประกาศเป้าหมายการลงทุนในเวียดนามด้วยงบ 30,000 ล้านบาท ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันภาพรวมมีการเติบโตต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกที่ดีในการเร่งเครื่องเดินหน้าต่อยอดธุรกิจอย่างไม่หยุดยั้ง ตามกรอบยุทธศาสตร์ CRC Retailligence ที่ได้ตั้งเป้าหมายกลยุทธ์การเติบโตภายในปี 2569 ในการขยายอาณาจักรธุรกิจค้าปลีกใน ทั้ง 3 กลุ่ม ทั้งกลุ่มฟู้ด กลุ่มน็อนฟู้ด อาทิ สินค้าประเภท Home & Entertainment, กีฬา และไลฟ์สไตล์ รวมถึงกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ครอบคลุมกว่า 700 แห่ง จากเดิม 340 แห่ง ครอบคลุม 55 จังหวัด จากทั้งหมด 63 จังหวัดของเวียดนาม ตลอดจนการพัฒนาแพลตฟอร์มออมนิแชแนลให้แข็งแกร่งเติบโตขึ้นอีก 2 เท่า เป็น 15% และก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ด้านออมนิแชแนลในกลุ่มฟู้ด และพร็อพเพอร์ตี้ของเวียดนาม

แผนเดินหน้าขยายธุรกิจของ เซ็นทรัล รีเทล เพื่อบรรลุเป้าหมายภายในปี 2569

  • รีแบรนด์บิ๊กซีทั้งหมด ให้กลายเป็นศูนย์การค้า GO! ที่ทันสมัย และท็อปส์ มาร์เก็ต ภายในปี 2566
  • เปิดท็อปส์ มาร์เก็ต เพิ่ม 3 สาขาในทุกปี ตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศเวียดนาม
  • ขยายกลุ่มธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตเพิ่มขึ้นอีกกว่า70 สาขา พร้อมทั้งพัฒนาและเปิดศูนย์การค้าใหม่รวมกว่า 70 สาขา ตอกย้ำการเป็นเบอร์ 1 ในด้านไฮเปอร์มาร์เก็ต และผู้นำด้านศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ของประเทศเวียดนาม
  • ต่อยอดธุรกิจในเมืองรอง โดยขยายธุรกิจ มินิ โก! เพิ่มขึ้น รวมกว่า 100 สาขา และยกระดับ ลานชี มาร์ท ให้กลายเป็นร้านค้าปลีกที่ทันสมัย และมีบริการครบครัน
  • พัฒนาธุรกิจ เหงียนคิม ให้กลายเป็นผู้นำทางด้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้บริโภค และขยายสาขารวมกว่า 100 สาขา ตลอดจนการเปิดร้านใหม่ๆ ในรูปแบบสแตนด์อโลน
  • เดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกไลฟ์สไตล์ อาทิคูโบ ศูนย์รวมความบันเทิงสำหรับเด็ก ตั้งเป้ามีจำนวนสาขารวมมากกว่า 100 สาขา และร้านค้าสินค้าเบ็ดเตล็ด ภายใต้แบรนด์ ลุคคูล ตั้งเป้ามีจำนวนสาขารวมกว่า 120 สาขา พร้อมกับการพัฒนาธุรกิจด้านสินค้าและอุปกรณ์กีฬาของ ซูเปอร์สปอร์ต ด้วยการนำแบรนด์กีฬาชั้นนำใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้น อีกทั้งขยายสาขาให้ได้รวมกว่า 170 สาขาทั่วประเทศ
  • มุ่งมั่นพัฒนาช่องทางออมนิแชแนลเชื่อมโยงประสบการณ์การช้อปปิ้งในแบบออฟไลน์สู่ออนไลน์อย่างไร้ขีดจำกัดแก่ผู้บริโภค ตอกย้ำการเป็นผู้นำของเซ็นทรัล รีเทล ด้าน Next-Gen Omni Retail แห่งเอเชีย

“การดำเนินธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในประเทศเวียดนาม จากวันแรกจนถึงวันนี้ได้สร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างท้าทาย พร้อมทั้งขยายอาณาจักรครอบคลุมได้ทั้งพื้นที่ในหัวเมืองและต่างจังหวัด กระจายทั่วทั้งภูมิภาค ด้วยการวางแผนกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการดำเนินธุรกิจ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการเป็นศูนย์กลางของผู้บริโภค ที่เข้าใจความแตกต่างและไลฟ์สไตล์ของชาวเวียดนาม  และเติบโตร่วมกันไปพร้อมกับชุมชนและสังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าในอนาคต ศักยภาพของตลาดเวียดนามจะยิ่งเติมเต็ม และสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจค้าปลีกของเซ็นทรัล
รีเทล ได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำค้าปลีกแห่งอนาคตอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียอย่างเต็มภาคภูมิ” มร.โอลิวิเยร์ กล่าวสรุป