Nikkei Asia ได้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น ได้ใช้เงินมากถึง 5.5 ล้านล้านเยน หรือราวๆ 1.41 ล้านล้านบาท เพื่อที่จะแทรกแซงค่าเงินเยนในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ค่าเงินเยนได้อ่อนค่าอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำสถิติใหม่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 32 ปี
ข้อมูลจากธนาคารกลางญี่ปุ่นและรวบรวมโดย Nikkei Asia ในเดือนตุลาคมธนาคารกลางญี่ปุ่นได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 5.5 ล้านล้านเยน ซึ่งมากว่าเดือนกันยายนที่ธนาคารกลางได้ใช้เงินแทรกแซงค่าเงินไปแล้วถึง 2.8 ล้านล้านเยน
ค่าเงินเยนที่อ่อนค่านั้นสาเหตุสำคัญมาจากนโยบายการเงินของญี่ปุ่นนั้นแตกต่างกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ เนื่องจากญี่ปุ่นเองต้องการแก้ปัญหาเงินฝืดซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน จึงต้องใช้นโยบายด้านการเงินแบบผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ รวมถึงการอัดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน
ซึ่งนโยบายการเงินของญี่ปุ่นถือว่าตรงข้ามกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ที่ใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงการลดสภาพคล่องในระบบ เพื่อที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อในตอนนี้ ส่งผลทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกากับญี่ปุ่นนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ ส่งผลทำให้เม็ดเงินไหลออกจากญี่ปุ่น จึงทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าอย่างหนัก
ก่อนหน้านี้ Shunichi Suzuki รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้ออกมากล่าวกับสื่อว่าจะดำเนินการอย่างเหมาะสมและเด็ดขาดกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามากเกินไป โดยตัวเขามองว่าค่าเงินที่อ่อนค่านั้นถูกขับเคลื่อนโดยนักเก็งกำไรค่าเงิน ไม่เพียงเท่านี้เขายังกล่าวว่าทางการสามารถที่จะเข้าไปแทรกแซงโดยไม่ต้องประกาศให้สาธารณชนรับรู้ได้
นอกจากนี้ญี่ปุ่นได้พยายามแก้ปัญหาค่าเงินเยนที่อ่อนค่า ไม่ว่าจะเป็นการเปิดประเทศเพื่อที่จะรับนักท่องเที่ยว ส่งผลทำให้เม็ดเงินไหลเข้า นอกจากนี้ปัจจัยดังกล่าวยังดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่า เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศในเอเชีย
โดยในบทวิเคราะห์ของ JPMorgan ได้คาดการณ์ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่ามากที่สุด 155 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดือนธันวาคม ก่อนที่จะค่อยๆ ทยอยแข็งค่ามากขึ้นในปี 2023