Apple กำลังทำอะไรกับ “Gen-AI” ทำไมถึงไม่รีบเปิดตัวผลิตภัณฑ์เหมือนบิ๊กเทคอื่นๆ

Photo : Shutterstock
ระหว่างที่บริษัทเทคยักษ์ใหญ่ต่างตบเท้าเข้าสนามแข่ง Generative AI แต่บริษัท Apple ยังคงเป็น “เสือซุ่ม” ด้วยธุรกิจหลักที่เน้นด้านฮาร์ดแวร์มากกว่าซอฟต์แวร์ ทำให้ไม่ต้องรีบแข่งขันในเทคโนโลยีนี้

ทั้งบริษัท Salesforce และ Microsoft ต่างเข็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Generative AI มาโชว์ศักยภาพแล้วว่า AI ประเภทนี้สามารถสร้างประสิทธิภาพให้กับคนทำงานได้มากแค่ไหน การมาถึงของ ChatGPT และระบบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน จึงอาจจะทำให้ผู้บริโภคเริ่มคิดเปรียบเทียบแล้วว่าทำไม ChatGPT จึงฉลาดกว่า Siri ผู้ช่วยระบบเสียงของ Apple

ทำไม Apple จึงยังไม่รีบเข้าสู่ตลาดแข่งขัน Gen-AI ?? สำนักข่าว FastCompany วิเคราะห์ไว้ว่า เป็นเพราะเทคโนโลยีนี้ยังไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจหลักของ Apple ซึ่งเน้นขาย “ฮาร์ดแวร์” เป็นหลัก ไม่เหมือนกับ Google หรือ Microsoft ซึ่งจะถูกกระทบเต็มๆ หากเดินตามหลังในวงการ Gen-AI

อีกประการหนึ่งคือ Apple มักจะถูกมองว่าเป็น “ผู้ตามที่เดินตามได้รวดเร็ว” โดยปกติแล้วบริษัทนี้มักจะรอจนกว่าเทคโนโลยีใหม่สุกงอมในตลาดเสียก่อน แล้วจึงเข้าร่วมนำเสนอแก่ผู้บริโภคด้วยสไตล์ที่เป็น Apple มากกว่า ในระหว่างนั้นบริษัทก็ไม่ได้ทิ้งการพัฒนา ยกตัวอย่างเช่น ระบบ AI ก็ถูกนำมาใช้อยู่แล้วในอุปกรณ์และแอปพลิเคชันต่างๆ ของเครือ

iphone 14
(Photo by Justin Sullivan/Getty Images)

อย่างไรก็ตาม Gen-AI ถูกมองว่าจะเป็น ‘Next Big Thing’ ของวงการเทคโนโลยี คือเป็นเทคโนโลยีที่มีพลังเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นวงกว้าง ทำให้แนวทางของ Apple ที่มักจะอยู่เงียบๆ และรอเวลา อาจจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์นี้ Apple เองอาจจะรู้สึกกดดันจากผู้บริโภคเหมือนกัน เพราะถ้ายังเงียบอยู่อาจถูกผู้บริโภคมองว่าเป็นบริษัทที่เชื่องช้าต่อการเปลี่ยนแปลง และอ่อนแอในด้านการวิจัยพัฒนา

เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับ Apple มาแล้วครั้งหนึ่ง ในช่วงที่กระแสอุปกรณ์สั่งงานด้วยเสียงภายในบ้าน หรือ Home Assistant กำลังบูมเพราะ Alexa ของ Amazon มาแรงมาก ทำให้ Apple เองก็ต้องออกผลิตภัณฑ์ HomePod มาแข่งขัน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักหากวัดตามมาตรฐานบริษัทก็ตม

 

อุปสรรคของ Apple ในการร่วมวง Gen-AI

ความเป็นไปได้ที่ Apple อาจจะต้องเริ่มเปิดตัวเทคโนโลยี Gen-AI ของตนเองเร็วๆ นี้นั้นมีอุปสรรคสำคัญบางอย่าง ข้อใหญ่คือ Apple เป็นบริษัทที่ชูคอนเซ็ปต์เรื่อง “ความเป็นส่วนตัว” ของลูกค้า สูงกว่าบริษัททั่วไปในวงการเทค เช่น Meta หรือ Google

หาก Apple พยายามจะยกระดับ Siri ให้เป็น Gen-AI ที่มีความฉลาดมากขึ้นและเหมือนมนุษย์กว่าที่เคย บริษัทจะต้องแหกกฎของตัวเองเพื่อเข้าถึงทั้งข้อมูลสาธารณะและข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งเป็นแหล่งดาต้าที่จะช่วยฝึก AI ได้เป็นอย่างดี ทั้งข้อมูลสไตล์การสื่อสาร การเรียงลำดับความสำคัญ ความชื่นชอบและสนใจ รสนิยม ความสัมพันธ์ ไปจนถึงข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลด้วย

เท่าที่มีการวางนโยบายมา Apple พยายามที่จะฝึก AI ด้วยดาต้าที่แยกจากกัน คือใช้ดาต้าของผู้ใช้อุปกรณ์เครื่องนั้นๆ เท่านั้น ไม่มีการนำดาต้ามารวมกันบนคลาวด์ และ Apple เองต้องเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวเหล่านั้นไม่ได้ แต่การฝึกฝน AI ขณะนี้ยังต้องใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่อยู่ ดังนั้น การจะฝึกบน iPhone เพียงเครื่องเดียวจึงยังทำไม่ได้ แต่การพัฒนาในวงการกำลังหมุนไปในทางเดียวกัน คือพยายามทำให้การฝึก AI ใช้พลังการประมวลผลน้อยลง

 

ยังไม่มา แต่ไม่ได้ทิ้ง

แม้เรายังไม่เห็น Gen-AI ของ Apple แต่จริงๆ แล้วบริษัทไม่ได้ทิ้งเทคโนโลยีนี้ มีหลักฐานว่าบริษัทกำลังซุ่มเพิ่มกำลังการพัฒนาในด้านนี้ นับตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวในตลาดช่วงปลายปีก่อน

แม้ว่าบริษัทเริ่มมีนโยบายชะลอการจ้างงานเพิ่ม แต่ปัจจุบัน บริษัทประกาศรับสมัครงานถึง 100 ตำแหน่งภายใต้กลุ่ม “แมชชีน เลิร์นนิ่ง และ AI: เทคโนโลยีการพูดและการประมวลผลภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ”

19 ตำแหน่งจาก 100 ตำแหน่งนั้นจะทำงานในเมืองซีแอตเทิล ซึ่งเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาด้าน AI ของ Apple ในจำนวนตำแหน่งเหล่านี้ มี 7 ตำแหน่งที่ระบุชัดเจนเลยว่าทำงานกับระบบ Siri

อีกทั้งมี 36 ตำแหน่งที่กระจายอยู่ในหลายเมืองทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง บาร์เซโลนา คอร์ก(ไอร์แลนด์) และสิงคโปร์ ตำแหน่งนี้เป็น “Annotation Analysts” เป็นตำแหน่งเพื่อวิเคราะห์ดาต้าของผู้ใช้ที่เก็บได้ผ่าน Siri ในหลายๆ ภาษา ซึ่งเป็นดาต้าที่ผู้ใช้ต้องยินยอมด้วยตนเองที่จะให้ Apple เก็บข้อมูล ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นไปได้ที่ต่อจากนี้จะมุ่งเน้นการทำงานเพื่อฝึก Gen-AI มากขึ้น

Source