CEO ของ TikTok กล่าวว่าแอปฯ มีความสำคัญต่อชาวอเมริกัน หลังมีข่าวอาจโดนรัฐบาลสหรัฐฯ แบน

ภาพจาก Shutterstock

หัวเรือใหญ่ของ TikTok ได้เตรียมขึ้นให้การกับสภาคองเกรส โดยเขาได้ออกคลิปวิดีโอกล่าวถึงความสำคัญของ TikTok ว่าสร้างความบันเทิง และภาคธุรกิจในสหรัฐฯ ได้ใช้งานแพลตฟอร์มนี้ ซึ่งบริษัทพยายามที่จะไม่ให้แอปถูกแบนในสหรัฐอเมริกา โดยชี้ว่ามีผู้ใช้งานมากถึง 150 ล้านรายกำลังใช้งาน

Shou Zi Chew ซึ่งเป็น CEO ของ TikTok ได้ออกมากล่าวกับผู้ใช้งานบนแอปพลิเคชันว่าปัจจุบัน Social Network รายนี้มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกามากถึง 150 ล้านคน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนั้นมากกว่าในช่วงปีก่อนหน้าที่มีผู้ใช้งานราวๆ 100 ล้านคนด้วยซ้ำ

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าภาคธุรกิจถึง 5 ล้านรายในสหรัฐอเมริกาได้ใช้ช่องทางโปรโมตผ่านแพลตฟอร์มเป็นจำนวนมาก และกล่าวถึงพนักงานบริษัทในสหรัฐอเมริกานั้นมีจำนวนถึง 7,000 รายด้วย

โดย CEO ของ TikTok จะขึ้นให้การกับสภาคองเกรสในวันที่ 23 มีนาคมนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีประเด็นเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงโครงสร้างบริษัทที่ผู้บริหารสูงสุดของ TikTok ได้กล่าวว่าโครงสร้างบริษัทนั้นรัฐบาลจีนไม่สามารถเข้ามาควบคุมได้

ซึ่งการขึ้นให้การกับสภาคองเกรสนั้นตามหลังมาจากความเคลื่อนไหวจากรัฐบาลสหรัฐที่อาจมีสิทธิ์แบน TikTok หลังจากที่รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์เคยมีความพยายามแบนแอปดังกล่าวมาแล้ว แต่ถูกระงับจากศาล

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเขายังได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อธุรกิจอย่าง The Wall Street Journal ว่าการแยก TikTok ออกมาเป็นบริษัทใหม่จาก ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทแม่ที่อยู่ในประเทศจีนไม่ได้ทำให้เรื่องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ TikTok ได้มีข่าวถึงพนักงานบริษัทในประเทศจีนได้แอบสืบนักข่าวจากหลายสื่อ ไม่ว่าจะเป็น Forbes หรือแม้แต่ Financial Times ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ในท้ายที่สุดบริษัทได้ออกมายอมรับว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวจริง และได้กล่าวว่ามีการไล่พนักงานออกไปแล้ว

สำหรับทริกที่ผู้บริหารของบริษัทเทคโนโลยีได้ออกมากล่าวกับผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์มนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด โดยแพลตฟอร์มอย่าง Uber หรือแม้แต่ Lyft นั้นเคยส่งข้อความให้กับผู้ใช้งานมาแล้ว หรือแม้แต่ Google กับ Mozilla ก็เคยออกแคมเปญต่อต้านกฏหมายที่ให้อำนาจรัฐในการปิดกั้นเว็บไซต์ด้วยเหตุผลจากการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามาแล้ว

ที่มา – The Verge, NBC News, CNBC