ต้องเลือกสักทาง! รัฐบาลสหรัฐฯ เตือน ByteDance ถ้าไม่แยก TikTok ออกมา เสี่ยงโดนแบน

ภาพจาก Shutterstock

รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตือนไบต์แดนซ์ (ByteDance) บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากจีน ว่าถ้าหากบริษัทไม่แยกธุรกิจของติ๊กต๊อก (TikTok) ออกมานั้นมีสิทธิ์ที่แอปพลิเคชันดังกล่าวอาจโดนแบนในสหรัฐอเมริกาได้ หลังจากที่สมาชิกสภาของพรรครีพับลิกันได้กดดันอย่างหนัก

ประเด็นสำคัญที่ทำให้สหรัฐอเมริกาต้องการแยก TikTok ออกมาเนื่องจากกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล โดยในช่วงที่ผ่านมานั้นมีข่าวที่ว่าพนักงานของบริษัทในประเทศจีนสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานในทวีปยุโรป หรือแม้แต่นักข่าวในสหรัฐอเมริกาอย่าง Forbes รวมถึงอังกฤษอย่าง Financial Times

ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งแบนไม่ให้มีการติดตั้ง TikTok ลงในโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในหน่วยงานราชการ เนื่องจากกังวลถึงข้อมูลที่อ่อนไหว อาจหลุดไปถึงรัฐบาลจีนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลที่ว่ารัฐบาลจีนอาจใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวนี้ในการสืบหาข้อมูลในสหรัฐอเมริกาได้

นอกจากนี้การเมืองในสหรัฐอเมริกาอย่างสมาชิกของพรรครีพับลิกันเองก็ได้กดดันรัฐบาลของโจ ไบเดนเช่นกัน

ไม่ใช่แค่รัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้นที่มีความกังวล รัฐบาลหลายประเทศเองก็มีความกังวลถึงความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ แคนาดา เป็นต้น ขณะที่อินเดียได้สั่งแบน TikTok เนื่องจากมีความขัดแย้งกับประเทศจีน โดยเฉพาะในเรื่องของพรมแดน

ความพยายามแบนแอปพลิเคชันจากจีนนั้นมีมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่โดนศาลของสหรัฐฯ ได้ขัดขวางไว้

ขณะที่ฝั่งของ ByteDance นั้นมีความพยายามที่จะทำให้ TikTok นั้นสามารถดำเนินธุรกิจในสหรัฐอเมริกา และไม่โดนแบนโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการย้ายข้อมูลของผู้ใช้งานมาอยู่ใน Cloud ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทได้ใช้ค่าใช้จ่ายไปมากถึง 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ

มาตรการดังกล่าวรวมถึงการตั้งผู้บริหารที่เป็นชาวสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีผู้บริหารหลายคนกลับต้องลาออก เนื่องจากไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจในการบริการเรื่องต่าง ๆ ได้เลย

อย่างไรก็ดีทางฝั่งของ ByteDance ได้อ้างว่าปัจจุบันบริษัทมีนักลงทุนชาวต่างชาติมากถึง 60% ถือหุ้นในบริษัท ในส่วนที่เหลือเป็นของผู้ก่อตั้งและพนักงาน ซึ่งถือหุ้นฝ่ายละ 20% เท่ากัน และชี้ว่าการบังคับให้ TikTok แยกออกมาเป็รอีกบริษัทก็ไม่ได้ช่วยเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลแต่อย่างใด

ปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกามากกว่าวันละ 100 ล้านราย

ที่มา – NPR, The Guardian