ผลประกอบการ Intel ไตรมาส 1 ขาดทุน 2,768 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ในขณะที่ยอดขายคอมพิวเตอร์-โน้ตบุ๊กทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลงอย่างหนัก โดยยอดจัดส่งพีซีทั่วโลกลดลงเกือบ 30% ในไตรมาสแรก หลังจากที่เติบโตสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปีเนื่องจากการมาของโควิด ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง อินเทล (Intel) ได้รับผลกระทบไปด้วย โดย รายได้ลดลงต่อเนื่อง 5 ไตรมาสติดต่อกัน และขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2

ผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2023 ของ อินเทล มีรายได้รวม 11,715 ล้านดอลลาร์ ลดลง 36% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ทำรายได้ 18,400 ล้านดอลลาร์ โดย ขาดทุน 2,768 ล้านดอลลาร์ โดยถือเป็นการขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท หลังจากที่ไตรมาส 4 ปี 2017 เคยขาดทุนมากที่สุด 687 ล้านดอลลาร์

โดยรายได้ของอินเทลลดลง 5 ไตรมาสติดต่อกัน และขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2 เนื่องจากยอดขายลดลงของ 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ Client Computing ส่วนใหญ่มาจากพีซี ลดลง 38% เป็น 5,767 ล้านดอลลาร์ ส่วนกลุ่ม Data Center และ AI ลดลง 39% เป็น 3,718 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม Pat Gelsinger ซีอีโอ อินเทล มองว่า ภาพรวมตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติภายในปีนี้ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตพีซีเริ่มเคลียร์สินค้า และเริ่มเปิดคำสั่งซื้อใหม่เข้ามา และอินเทลยังคงเดินหน้าตามแผนงานระยะยาวในการเป็นผู้นำตลาดชิปประมวลผล

“เราเริ่มเห็นเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นในตลาดพีซี ส่วนตลาดเซิร์ฟเวอร์และเครือข่ายยังไม่ใช่จุดต่ำสุด” Pat Gelsinger ซีอีโอ กล่าว

ที่ผ่านมา อินเทลมีแผนที่จะสร้างการเติบโตระยะยาว โดยได้เปิดโรงงานที่สามารถผลิตชิปให้กับบริษัทอื่นได้ โดยอินเทลหวังว่า ภายในปี 2026 จะสามารถผลิตชิปขั้นสูงเทียบเท่ากับที่ผลิตโดย TSMC ในไต้หวัน และสามารถแข่งขันกับงานสั่งทำพิเศษอย่างเช่นชิป A-series ของ Apple ใน iPhone

นอกจากนี้ การที่อินเทลจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อลดต้นทุน ก็คาดว่าจะช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 นี้ และมากถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2025

Source