ปตท. กวาดกำไรไตรมาสสอง 2.01 หมื่นล้านบาท ครึ่งปีแรกฟาดกำไร 4.7 หมื่นล้าน

ปตท. กำไรงวดนี้ 2.01 หมื่นล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.88 หมื่นล้านบาท เนื่องจากขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 4 พันล้านบาท ขณะงวดนี้ปีก่อนมีกำไร 19,000 ล้านบาท รวมทั้งกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลง ขณะครึ่งแรกปีนี้ ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้ 1,534,755 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 47,962 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนตามราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกที่ปรับลดลง

อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT แจ้งงบไตรมาส 2 ปีนี้มีกำไรสุทธิ 2.01 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.70 บาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3.88 หมื่นล้านบาท และกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.37 บาท

โดยไตรมาส 2 ปี 66 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ (EBITDA) 92,625 ล้านบาท ลดลง 90,152 ล้านบาท หรือร้อยละ 49.3 จากในไตรมาส 2 ปีก่อนที่มี 182,777 ล้านบาท โดยหลักจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น สำหรับธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาสนี้

ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันในไตรมาส 2 ปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 ปี 65 เป็นกำไรประมาณ 19,000 ล้านบาท รวมทั้งกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 21.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2 ปี 65 เป็น 4.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในไตรมาส 2 ปี 66 จากส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินกับน้ำดิบปรับลดลงแม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น ในส่วนของผลการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงโดยหลักจากกลุ่มโอเลฟินส์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง

นอกจากนี้กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีผลการดำเนินงานลดลงตามรายได้จากการขายที่ลดลง กลุ่มธุรกิจอื่นๆ มีผลการดำเนินงานลดลงจากการจำหน่ายธุรกิจถ่านหิน กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีก รวมถึงกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อหน่วยที่ลดลง แม้ว่าปริมาณการขายเพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลง

โดยหลักมาจากธุรกิจโรงแยกก๊าซที่มีราคาขายเฉลี่ยที่ลดลงทุกผลิตภัณฑ์ตามราคาปิโตรเคมีในตลาดที่อ้างอิง แม้ว่าปริมาณการขายเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจท่อส่งก๊าซที่ลดลงจากการปรับอัตราค่าผ่านท่อ

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ครึ่งปีแรกของปี 2566 ปตท. และบริษัทย่อยมีรายได้ 1,534,755 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 47,962 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 4% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2565 ตามราคาปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในตลาดโลกที่ปรับลดลง โดยผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นปรับลดลงจากกำไรขั้นต้นจากการกลั่น (Market GRM) ลดลงจาก 13.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็น 6.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ในครึ่งปีแรกของปี 2566 รวมทั้งผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันในครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ ปตท. ดำเนินการเอง เช่น กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีผลการดำเนินงานลดลงจากธุรกิจโรงแยกก๊าซ เนื่องจากต้นทุนค่าเนื้อก๊าซที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาก๊าซในอ่าวไทย ประกอบกับราคาขายเฉลี่ยลดลงทุกผลิตภัณฑ์ รวมถึงปริมาณการขายที่ลดลง แม้ว่าผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลงและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น โดย ปตท. ยังคงรักษาระดับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ตลอดระยะเวลา 45 ปี ปตท. จะยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนประเทศไทยให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง และมุ่งจุดพลังชีวิต ขับเคลื่อนอนาคต สร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและก้าวสู่ธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน โดยในปี 2566 ปตท. ยังมีแผนลงทุนจำนวน 93,598 ล้านบาท ได้แก่ การก่อสร้างโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 7 โครงการท่อส่งก๊าซฯ บางปะกง-โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกเส้นที่ 5 โครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 2 การขยายการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) รวมถึงจัดตั้งโรงงานแบตเตอรี่และให้บริการเช่าใช้ EV ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มกว่า 1,000 คัน พร้อมขยายสถานีอัดประจุ EV ครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 400 หัวจ่าย ตลอดจนลงทุนในกลุ่มธุรกิจโภชนาการเพื่อสุขภาพ ทั้งการจัดตั้งโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชครบวงจร พร้อมเดินสายการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในปีนี้ รวมถึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพออกสู่ตลาดภายใต้แบรนด์อินโนบิก

นอกจากนี้ ปตท. เดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สนับสนุนการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ด้วยการปลูกป่าเพิ่มเติมโดย ปตท. 1 ล้านไร่ และความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ ให้สำเร็จภายในปี 2573 ซึ่งเมื่อรวมกับพื้นที่ป่าเก่า 1 ล้านไร่ ของ ปตท. แล้ว ในอนาคตพื้นที่แปลงปลูกป่าของกลุ่ม ปตท. กว่า 3 ล้านไร่นี้ จะมีสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 4.15 ล้านตัน/ปี อีกทั้งยังทำหน้าที่ให้บริการทางนิเวศ (Ecosystem service) เป็นแหล่งต้นน้ำ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงช่วยสร้างทุนทางสังคมและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ชุมชนคิดเป็นมูลค่าหลายล้านบาทต่อปีอีกด้วย