Wi-Fi 7 มาแล้ว! ทำความรู้จักไวไฟตัวใหม่ เร็วสูงสุด 46 Gbps มากกว่า Wi-Fi 6 ถึง 4.8 เท่า

มารู้จักกับเทคโนโลยี Wi-Fi 7 เป็นมาตรฐาน Wi-Fi ที่กำลังจะใช้อย่างแพร่หลายในอนาคตอันใกล้ และทาง TP-Link ได้ทยอยเปิดตัวสินค้าดังกล่าวในประเทศไทยแล้ว โดยมองว่าตลาดสินค้าดังกล่าวยังเติบโตได้อีกมากจนถึงปี 2030

TP-Link ได้เปิดตัวสินค้าในกลุ่ม Wi-Fi 7 โดยชูจุดเด่นในเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่กำลังจะมีการรองรับภายในช่วงปี 2024 ซึ่งทาง Positioning ได้สรุปความแตกต่าง รวมถึงสินค้าที่นำมาเปิดตัวในประเทศไทย

ความแตกต่างระหว่าง Wi-Fi 7 กับ Wi-Fi 6

Wi-Fi 7 เป็นมาตรฐาน Wi-Fi ที่กำลังจะใช้อย่างแพร่หลายในอนาคตอันใกล้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า IEEE 802.11be โดยเทคโนโลยี Wi-Fi 7 ทำงานอยู่บน 3 คลื่นความถี่ ได้แก่ 2.4 GHz 5 GHz และ 6 GHz

ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่าง Wi-Fi 7 กับ 6 คือ

  • Wi-Fi 7 จะเพิ่มคลื่นความถี่ 6 GHz ซึ่ง Wi-Fi 6 ไม่มี
  • Wi-Fi 7 จะมีแบนด์วิดท์ (ช่องสัญญาณ) กว้างถึง 320 MHz ซึ่งมากกว่า Wi-Fi 6 ซึ่งอยู่ที่ 160 MHz
  • ความเร็วในการใช้งานสูงสุดของ Wi-Fi 7 อยู่ที่ราวๆ 46 Gbps ซึ่งมากกว่า Wi-Fi 6 ถึง 4.8 เท่า มีค่าลาเทนซีลดลง 100 เท่า

การมาของเทคโนโลยี Wi-Fi 7 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดความหน่วงในการส่งข้อมูล การรองรับจำนวนอุปกรณ์ได้มากกว่า เป็นต้น

Wi-Fi 7 ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่จะเข้ามาปฏิวัติไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอีกอย่างหนึ่งก็ว่าได้ ครอบคลุมการใช้งานในทุกรูปแบบ ทั้งการใช้งานทั่วไป เช่น การรับชมภาพยนตร์ผ่านระบบสตรีมมิ่งความละเอียดสูง 4K/8K, การเล่นเกมออนไลน์ผ่านระบบคลาวด์, และการใช้งานอุปกรณ์ AR / VR / XR และการพัฒนาอุปกรณ์เครือข่ายทางธุรกิจเพื่อรองรับการใช้งานที่เพิ่มสูงมากขึ้น เช่น อุปกรณ์ IoT สำหรับธุรกิจทางการแพทย์ หรือ การควบคุมเครื่องจักรทางอุตสาหกรรม เป็นต้น

ปัจจุบันอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 7 นยังมีจำนวนที่ถือว่าน้อยมาก เช่น โทรศัพท์มือถือ Sony Xperia 1 V หรือ Motorola Edge+ เป็นต้น และจะต้องมีการอัปเดตตัวซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการใช้งาน Wi-Fi 7 ด้วย

ข้อมูลจาก TP-Link

Wi-Fi 7 เหมาะกับใคร

เนื่องด้วยเทคโนโลยีล่าสุดทำให้ Wi-Fi 7 รองรับการใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ของผู้ใช้งานทั่วไป เช่น VR/AR การเล่นเกมออนไลน์ที่ต้องการความหน่วงต่ำ การควบคุมอุปกรณ์สำนักงานจากระยะไกล และการประมวลผลผ่านระบบคลาวด์ เป็นต้น

ขณะที่การใช้งานในด้านภาคธุรกิจ Wi-Fi 7 ได้แก่ปัญหาในเรื่องของความแออัดและการรบกวนสัญญาณ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีความสำคัญอย่างมากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือเหมาะแก่ภาคธุรกิจที่เชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมาก เช่น อุปกรณ์ IoT เครื่องจักรทางอุตสาหกรรม ไปจนถึงเครื่องมือทางการแพทย์

ผู้บริหารของ TP-Link ยังได้กล่าวว่า Wi-Fi 7 มีความสำคัญทั้งในการใช้ครัวเรือน หรือแม้แต่ในภาคธุรกิจ เหมาะกับที่คนใช้งานมากๆ 

เปิดตัวอุปกรณ์รุ่นใหม่ มองตลาด Wi-Fi 7 โตได้อีกมาก

TP-Link ได้เปิดตัวอุปกรณ์หลายรุ่นไม่ว่าจะเป็น

  • เราเตอร์ Archer Wi-Fi 7 ในรุ่น Archer BE800 และ Archer BE550 โดยมีราคาเริ่มต้น 9,990 บาท
  • Deco Mesh Wi-Fi 7 ได้แก่ Deco BE85 และ Deco BE65 เพื่อการกระจายสัญญาณที่ครอบคลุมบ้านทั้งหลัง ราคาเริ่มต้น 2 Pack ในรุ่น BE65 อยู่ที่ 18,990 บาท
  • อุปกรณ์เครือข่าย Wi-Fi 7 สำหรับภาคธุรกิจ Omada ในรุ่น EAP783 และ EAP773 ในราคาเริ่ม 25,990 บาท

อย่างไรก็ดีสำหรับราคาอุปกรณ์เครือข่าย Wi-Fi 7 นั้นเริ่มต้นอาจมีราคาแพง และอาจเหมาะสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนจากเทคโนโลยีเดิมอย่าง Wi-Fi 5 มาเป็นอุปกรณ์ตัวใหม่

สำหรับขนาดตลาดของ Wi-Fi 7 ทั่วโลก TP-Link ได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันตลาดมีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 24.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 โดยมี CAGR ที่ 57.2% ตั้งแต่ปี 2023 ถึง 2030

นอกจากนี้บริษัทยังมองว่าผลิตภัณฑ์ Wi-Fi 6 และ Wi-Fi 7 จะครองตลาดภายในปี 2027 ในสัดส่วนมากถึง 2 ใน 3 โดยมีอัตราการเติบโตหลังจากนี้ 18.8% ต่อปี ทำให้ TP-Link เริ่มเปิดตัวสินค้าในกลุ่ม Wi-Fi 7 เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ