“เอ ศุภชัย” ซุป’ตาร์ปั้นได้

ดาราดังระดับซุป’ตาร์ของเมืองไทยเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น ณเดชน์ คูกิมิยะ อั้ม พัชราภา ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ, มาริโอ้ เมาเร่อ, ปู ไปรยา สวนดอกไม้ เคน ภูภูมิ, หมาก ปริญ ล้วนมาจากฝีมือของนักปั้นมืออาชีพ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทั้งสิ้น ความดังของซูเปอร์สตาร์เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ แต่ได้ผ่านกระบวนการคิด จับความต้องการของตลาดได้อยู่หมัด ทำให้ “ดารา” กับ “สินค้า” กลายเป็นของคู่กัน จังหวะการวางสินค้า รู้ว่าควรโปรโมตอย่างไร เวลาไหนควรเก็บเกี่ยว นับเป็นโมเดลที่น่าศึกษายิ่ง

ในฐานะนักปั้นดารา เอ ศุภชัย  ศรีวิจิตร เข้าใจในอาชีพวงการบันเทิงอย่างลึกซึ้ง เขารู้ดีว่าอาชีพนี้ต้องการ “ความสดใหม่” และ “จังหวะเวลา” มากกว่าอย่างอื่น 

การปั้นคลื่นลูกใหม่เข้าสู่วงการอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่ไปกับการทำให้คลื่นลูกเก่าดำรงอยู่ได้ในระดับตำนานเหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังในสังกัดเริ่มแรกของเอ ศุภชัย ที่ย่างก้าวเข้าสู่อาชีพ “ผู้จัดการดารา”  

หลังความสำเร็จของอั้ม พัชราภา และ ป๋อ ณัฐวุฒิ ที่ช่อง 7 ชื่อของ “เอ ศุภชัย” ก็ดังไม่แพ้ดาราหน้าเด้ง แถมยังสร้างผลงานเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ปู ไปรยา สวนดอกไม้, เวียร์ ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, หมาก ปริญ สุภารัตน์, มาริโอ้ เมาเร่อ จนเวลานี้เขามีดาราในสังกัดมากมาย และพร้อมจะป้อนให้กับทุกช่องทุกแนวละคร ทั้ง 3, 5 และ 7 รวมถึงการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าที่เป็นของคู่กัน

แต่กว่าจะได้มาแต่ละคน เอ บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องง่าย” สิ่งที่เขาต้องทำเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้คือ ตระเวนเดินทางไปทั่วประเทศ แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อพบคนหน้าตาดีมีแวว เขาจะทาบทามพ่อแม่ ผู้ปกครองทันที แล้วรอวันที่พร้อม เพื่อปั้นเข้าสู่วงการ 

เขารู้แหล่งดีว่าจะเอาตัวเองไปเจอกับเด็กวัยรุ่นหน้าตาดีอย่างไร เช่น เดินทางไปเป็นกรรมการประกวด เพราะว่าสามารถเข้าถึง พูดคุยกับเด็กๆ เหล่านั้นอย่างใกล้ชิด บางครั้งเขาเดินทางไปถึงกัมพูชาเพื่อไปเป็นกรรมการประกวดของที่นั่น เพราะคิดว่าทุกวันนี้ตลาดที่เขาสามารถส่งเด็กไปสร้างความบันเทิได้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เมืองไทยอีกแล้ว ดังนั้นถ้าหากว่ามีเด็กท้องถิ่นที่พูดภาษาต่างๆ ได้ก็มีภาษีที่จะเจาะตลาดเพื่อนบ้านได้ดีกว่า  

เมื่อเอเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เด็กส่วนหนึ่งมาจากคนแนะนำ เช่นเคสของ เวียร์-ศุกลวัฒน์ ที่เพื่อนส่งรูปให้ดู แต่นักปั้นผู้นี้ก็ยังเดินทางไปดูด้วยตัวเองถึงขอนแก่น หรือกรณีของ หมาก-ปริญ ที่เข้าสู่สังกัดด้วยการแนะนำจากเพื่อนที่ทำงานโมเดลลิ่ง 

ล่าสุด เขาเพิ่งกลับจากงานวัดไทยในอเมริกา เอก็ได้หนุ่มลูกครึ่ง วัย 16 ปี แม่อีสานพ่อฝรั่ง สไตล์เดียวกับ ณเดชน์ เข้าสังกัดเรียบร้อยแล้ว เขาบอกอย่างมั่นใจว่า อีก 2 ปี เจอกัน วงการจะมีดาวดวงใหม่ที่ฮอตไม่แพ้ณเดชน์ 

ช่วงอายุของกลุ่มเด็กที่เอมองหา จะอยู่ที่ 16-17 ปี เพราะขารู้ว่าต้องฝึกให้หนักอีกหลายขั้นตอนกว่าจะส่งเข้าสู่วงการบันเทิงได้ บางคนต้องใช้เวลาเป็นปี

เอ จะมีเด็กในสังกัดที่เตรียมไว้เกือบทุกจังหวัดและต่างประเทศ และเมื่อได้เด็กมาแล้ว เอจะใช้บ้านหลังใหญ่ย่านถนนสุขาภิบาล 5 ตกแต่งอย่างดี ไว้รองรับบรรดาดาวดวงใหม่ เฉลี่ยเลือกปั้นครั้งละ 10  คน โดยมีคอร์สเรียนการแสดง, ร้องเพลง, พัฒนาบุคลิกภาพ, ออกกำลังกาย เพื่อให้มีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์มเหมาะกับถ่ายแบบตามคาแร็กเตอร์ ซึ่งเอ ศุภชัยจะวาง Position ไว้ชัดเจน ทั้งการแต่งตัว การดูแลตัวเอง และการปรากฏตัวบนเวที ที่ต้องบ่มจนเป๊ะ ก่อนป้อนเข้าสู่วงการบันเทิง

เอ ศุภชัย บอกว่า แต่ละคนจะใช้งบลงทุนเฉลี่ย 1 ล้านบาทต่อคน ที่ต้องลงทุนขนาดนี้ เพราะบางคนเข้าคอร์สแล้วยังสวยและหล่อไม่ “เป๊ะ” ก็จำเป็นต้องพึ่งมีดหมอที่เกาหลี ให้หน้าตาออกมาอินเทรนด์ รับกับมุมกล้องและตรงกับรสนิยมคนดูตามยุคสมัย  

“มีเด็กบางคนเคยถามว่า อยู่กับพี่เอมา 2 ปีแล้ว ยังไม่มีงานเลย เพราะเราจะไม่ปล่อยให้สินค้าไม่ดีออกสู่ตลาด เหมือนกล้วยยังไม่แก่ก็ขายแล้ว ถ้ารีบออกก็ต้องใช้แรงเยอะ เราต้องใช้หัวคิด หาจังหวะดีๆ แล้วค่อยออก”  

ถึงจะลงทุนลงแรงไปไม่น้อย แต่อัตราเฉลี่ย ปั้นแล้วใช้ได้ 9 ใน 10 คน ถือว่าเป็นตัวเลขที่คุ้มค่าเมื่อเทียบเม็ดเงินลงทุนกับการเก็บเกี่ยวเม็ดเงินรายได้ของเด็กในสังกัดและในฐานะผู้จัดการ จะได้รับเมื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ที่จะมีทั้งงานแสดงละคร พรีเซ็นเตอร์ 

เขายกตัวอย่าง เนย โชติกา รับบทเป็นนางร้าย แต่เนื้องานที่ได้รับและรายได้ ไม่แพ้นางเอก 5 ดาว แต่อาจต้องเหนื่อยกว่า ความถี่ในการทำงานอาจต้องเยอะกว่า เพราะสุดท้ายที่ได้รับกลับคืนคือผลตอบแทนที่คุ้มค่า และมีอาชีพติดตัวไปตลอดชีวิต 

แม้แต่ณเดชน์เองที่เอไปพบ อายุแค่ 15 ปี เรียนอยู่ ม.4 ในจังหวัดขอนแก่น เขาต้องใช้เวลาบ่ม ถึง 2 ปีเต็มจึงพาเข้าสู่วงการ เริ่มจากรับงานเป็นจ๊อบเล็กๆ ก่อนผลักดันเข้าตลาดด้วยการเดินแบบ จากนั้นจึงเล่นละคร และเป็นพรีเซ็นเตอร์ 

“เอจะไม่ปล่อยเขาออกมาตอนยังเด็กเกินไป สินค้าเด็กอยู่ได้ไม่นาน แถมราคาก็ถูก ต้องรอให้เขาเป็นหนุ่ม ระหว่างนั้นก็ฝึกบุคลิกภาพ ฝึกแอคติ้ง ฝึกทุกอย่างเท่าที่จะป้อนให้ได้”

นอกจากฝึกบุคลิก และความสามารถแล้ว เด็กในสังกัดเอต้องผ่านการ “รับน้อง” เพื่อฝึกความ “อดทน” ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่เอ ศุภชัย เข้าใจเรื่องนี้ดี จะสวยหล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องถูกใจคนจ้างงานด้วย

ยกตัวอย่าง ใหม่ ดาวิกา ถูก “รับน้อง” ด้วยโจทย์ที่เอให้ไปเอาใจคนสูงอายุ 100-200 คน โดยพาทัวร์ประเทศพม่า เขาให้เหตุผลว่า หากเอาชนะใจคนเหล่านี้ได้ก็เท่ากับชนะใจคนดูไปแล้วกว่าครึ่ง คนสูงอายุพวกนี้มีบทบาทมากในการบอกต่อ หรือบังคับลูกหลานให้มานั่งดูทีวีพร้อมกัน

“เวลาอยู่ที่บ้านเอก็เหมือนกัน เอจะให้เด็กกินเผ็ด ห้ามบ่นเรื่องอาหาร ไม่ให้เรื่องมาก เพราะเวลาอยู่กองถ่ายจะเรื่องมากไม่ได้ ต้องกินง่ายอยู่ง่าย คนเอ็นดูเรา ถ้ามีคน2 คนที่ความสามารถเท่ากัน ความสวยพอๆ กัน แล้วผู้จัดเขาต้องเลือก เขาก็ต้องเลือกคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจมากกว่า เด็กของเอต้องเป็นคนที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าทำงานด้วยแล้วสบายใจ” เอเล่าไป หัวเราะไป ด้วยวิธีคิดแบบนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ ก็เคยผ่านการฝึกความอดทนด้วยการนั่งรถทัวร์ไป-กลับกรุงเทพฯ ขอนแก่นมาแล้ว  

ช่อง 3 ความลงตัวของดีมานด์-ซัพพลาย 

สูตรการปั้นซุป’ตาร์ของ เอ ศุภชัย ไม่ได้อาศัยแต่ความสวยความหล่อเท่านั้น เขายังต้องดูจังหวะและโอกาสที่ดีด้วย การขยับจากการป้อนดาราในสังกัดให้กับช่อง 7 มาที่ช่อง 3 ก็เป็นการ “มองจังหวะ” และ “ทิศทางลม” ที่ถูกต้องทีเดียว เมื่อช่อง 3 ต้องการบุกหนักเรื่องละคร  “ดาราหน้าใหม่” จึงเป็นที่ต้องการมากสำหรับละครแนวใหม่ๆ ที่ผู้จัดละครโหยหาเพิ่มเป็นเท่าตัว เป็นจังหวะที่ลงตัวพอดีของเด็กในสังกัดเอ ศุภชัย ที่นิยมปั้นดาราตามเทรนด์สมัยใหม่ (อ่านล้อมกรอบ) 

ขณะที่ช่อง 7 ยังคงเน้นละครแนวเดิม นิยมใช้พระเอกหน้าไทย ดูมีอายุ ซึ่งเอ ศุภชัย ยืนยันว่า เขายังคงป้อนเด็กให้กับช่อง 7 ตลอดมา ทั้งเวียร์ ใหม่ ดาวิกา และอีกหลายคน เพียงแต่กระแสไม่ฉูดฉาดเท่าช่อง 3 

“ตอนที่ทำให้ช่อง 3 เอก็พูดกับผู้ใหญ่ช่อง 7 ว่าจะพาดาราบางส่วนไปอยู่ช่อง 3 นะ เพราะเทรนด์หน้าตาของช่อง 7 คนละแบบ ผู้ใหญ่ก็เข้าใจ เราต้องเคลียร์ให้ชัด สร้างความเข้าใจกัน เพราะเราเกิดที่นี่ ทุกวันนี้เอสามารถทำงานได้ทั้ง 2 ช่อง รวมถึงช่อง5 ค่ายเอ็กแซ็กท์ของคุณบอย เอก็ป้อนให้ตลอด อย่าง วิว วีรนุท และ สน ยุกต์ส่งไพศาล นี่ก็ใช่”

เมื่อกระแสละครช่อง 3 เบียดแซงหน้าช่อง 7 มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเป็นแรงส่งให้ดาราในสังกัดของเอ โด่งดังระดับซุป’ตาร์ จนเป็นที่มาของ “คอนเสิร์ต 4+1“ ที่เสี่ยประวิทย์ มาลีนนท์ เป็นต้นคิดของไอเดีย และให้เสิร์ชเอ็นเตอร์เทนเม้นท์จัดขึ้น ความดังในฐานะ “นักปั้นมือทอง” ทำให้ “เอ ศุภชัย” ขยับจากผู้อยู่เบื้องหลัง มาปรากฏกายบนเวทีคอนเสิร์ตได้อย่างน่าภาคภูมิใจ  พร้อมซุป’ตาร์ที่เขาปั้นมากับมือ 

Trend Setter ตัวแม่

เอ บอกว่า เขาป้อนดาราแล้วดังตลอด จนมาถึงจุดที่เป็น Trend Setterเมื่อกำหนดเทรนด์ได้แล้ว เป็นอำนาจต่อรองมากพอที่จะทำให้เด็กได้งานระดับท็อป ทั้งงานละครและงานพรีเซ็นเตอร์อยู่เสมอ   

“เราพูดครั้งแรกเขาอาจไม่เชื่อ เมื่อพูดแล้วถูกหมด เราก็ไม่ต้องไปตามเทรนด์ใครแล้ว  เวลานี้ถ้าบอกใครหล่อ คนทั่วไปก็เชื่อ เอจะบอกเจ้าของสินค้าได้เลยว่า ถ้าคุณไม่เชื่อคุณจะพลาด จะโดนเจ้าอื่นเอาไป แล้วถ้าคุณได้คนที่ไม่ใช่ไป คุณจะพลาดไปเรื่อยๆ นี่คือเทรนด์ที่เอ สร้างขึ้นมา” 

บนเส้นทางความสำเร็จของดาราในสังกัด เอบอกไม่ได้ว่าจะยืนยาวได้แค่ไหน แต่เราคิดว่าจะสามารถทำให้คลื่นลูกเก่ายืนอยู่ได้ในระดับเป็นตำนาน เหมือนอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ และ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ สองดาราดังรุ่นใหญ่ในสังกัด” ซึ่งเอยืนยันว่า ต่อให้มีดารามาใหม่อีก 100 คน ทั้งอั้มกับป๋อยังมีงานล้นมือทั้งละครและพรีเซ็นเตอร์ 

“และเราไม่หยุดแค่นั้น เราก็สร้างอาชีพต่อไปให้เขาต่อ เพราะเรารู้ว่าวงการนี้ขายความใหม่ ขายความสด และขายเวลา สุดท้ายจะต้องเดินไปเรื่อยๆ ไปข้างหน้า เด็กเกิดมาเยอะไปหมด คุณต้องทำใจให้ได้ว่าไม่มีทางจะดังตลอดไป ต้องมีคลื่นลูกใหม่เข้ามา แต่ทำอย่างไรให้เป็นคลื่นลูกเก่า แต่เป็นตำนานที่อยู่ได้ตลอดชีวิต”

ในการสัมภาษณ์ บ่อยครั้งที่เอ ศุภชัย จะพูดถึงตลาดต่างประเทศตลอดเวลา เพราะ “ดาราใหม่” ของเอในวันนี้ อาจไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศอีกแล้ว แต่เขามองไกลถึงต่างประเทศโน่น 

ความสำเร็จของมาริโอ้ ที่เอไปสร้างฐานไว้ที่ฟิลิปินส์รวมถึงประเทศจีน เอเชื่อว่าคนจีนจะตอบรับ “ณเดชน์” เหมือนคนทำหนังจะชอบ “มาริโอ้” ซึ่งเอก็ชอบเมืองจีน เพราะแม่เอมีเชื้อสายจีน คุณทวดมาจากเมืองจีน เอเคยพูดไว้ว่า ถ้าเราจะไปกินเงินเขา เราต้องศรัทธาในพื้นที่นั้นก่อน ถ้าจะไปทุกอย่างต้องเต็มเหนี่ยวและเป๊ะ  

“เออาจไปเอง หรือให้ลูกน้องไปดู แต่เราก็ไม่อยากให้ที่นี่ขาดคนปกครอง เราก็จะให้ลูกน้องไปช่วย และเชิญเขามาประเทศไทย มาคุยกัน มารู้จักตัวตนของกันและกัน”

เพราะอย่างที่บอก “ความสดใหม่” และ “เวลา” เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมาคู่กันเสมอ วันนี้ “เอ ศุภชัย” จึงเตรียมเปิดบ้านอีกรอบหลังจากเด็กในสังกัดเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมที่จะแยกครอบครัวซึ่งเปรียบเสมือน “กงสี” ที่ทุกคนอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเอง 

เด็กๆ ที่ได้รับการทาบทามไว้ 10 คน ที่เขาเตรียมไว้ตามหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งในต่างประเทศ ก็จะเดินเข้าบ้าน และพร้อมจะเป็นคลื่นลูกใหม่ในวงการบันเทิงต่อไป นี่คือภาระหน้าที่ที่ท้าทายและน่าสนุกของคนชื่อ “เอ ศุภชัย” นักปั้นมือทอง สาวกแบรนด์เนม “Hermes” ผู้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทในวันนี้ 

สูตรลับนักปั้น

Recruit

– เล็งจากเวทีประกวด เพราะว่าเข้าถึงตัวเด็กได้เลย

– ตระเวนหาตามแหล่งชุมชนไทยในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง  

– ตัวเด็กเข้ามาสมัครเองจากแบรนด์ของ เอ-ศุภชัย ที่ใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นนักปั้นมือทอง

– ช่วงแรกของชีวิตนักปั้น เอ-ศุภชัย จะเลือกพระเอกคมเข้มแต่มีดีกรีนักเรียนนอกอย่าง ป๋อ-ณัฐวุฒิ หรือบัณฑิตเกียรตินิยมอย่าง โน้ต-วัชรบูล ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นดาราวัยรุ่นให้รับกับเทรนด์

Training

– ฝึกการแสดง, ร้องเพลง, บุคลิกภาพ ทำให้เด็กมีพื้นฐานในวงการบันเทิงก่อน ผู้จัดจะได้ใช้งานสะดวกขึ้น มาตรฐานอยู่ที่ เอ-ศุภชัย ว่าจะให้ผ่าน และส่งเข้าสู่สนามจริงหรือไม่ 

– ออกกำลังกาย รักษาหุ่น นักแสดงโดยเฉพาะผู้ชายจะมีคอร์สออกกำลังกายที่มีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลรักษาหุ่น และดูแลเรื่องอาหารการกิน 

– การแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ในระดับหนึ่ง การแต่งตัวของดาราเวลาออกงาน เอ-ศุภชัย จะใช้วิธีการตัดชุดโดยดูแบบจากเกาหลี หรือดูแค็ตตาล็อกเสื้อผ้าแบรนด์เนม 

 – ฝึกความอดทนกับการทำงานในวงการบันเทิง ทั้งเรื่องกิน การมีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานในกองถ่าย

– เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการปรากฏตัวบนเวที เช่น มุมกล้องถ่ายรูป การเดิน ที่ทั้งหมดต้องโชว์มุมที่ดีที่สุดของตัวเองตลอดเวลา  

กระแสสร้างได้

– ตั้งชื่อให้กับเด็กในสังกัด โดยต้องเป็นชื่อที่สะดุดหู งานนี้ไม่ต้องดูดวงที่ไหน เอ-ศุภชัย ฟันธงด้วยตัวเอง 

– เลือกช่องทางให้เหมาะกับความสามารถ และบุคลิกของเด็กในสังกัด

– ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์ ทั้งข่าวเชิงบวกและข่าวแง่ลบ ก็ช่วยโปรโมตได้ทั้งนั้น

– ขึ้นปกนิตยสารดังในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อทำให้ผู้ชมติดตา

Remain

– วาง Position ให้ดารา มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน 

– เลือกรับงานที่ถนัด ถ้าหากว่าไม่ถนัดก็ไม่ปล่อยให้งานที่ไม่มีคุณภาพออกสู่สายตาผู้ชม (อั้ม พัชราภา ไม่เคยร้องเพลงในงานไหนเลย)  

– รักษาคุณภาพงานต่อเนื่อง มีข่าวอยู่ตลอด ไม่ให้หายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์