นักวิเคราะห์คาด “BYD” อาจเอาชนะ “Tesla” ขึ้นเป็นแบรนด์รถอีวีที่ขายดีที่สุดในโลกในช่วงโค้งท้ายปี 2023 จากรุ่นรถยนต์ที่มีหลากหลายระดับราคากว่า เข้าถึงลูกค้าได้มากกว่า และสามารถทำราคาได้เพราะ “จีน” คือผู้กุมซัพพลายเชนการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
ข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุว่า “จีน” คือผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้าของโลก ด้วยสัดส่วน 64% ของการผลิตรถอีวีอยู่ในประเทศจีน และแบรนด์จีนยังครองมาร์เก็ตแชร์ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าถึง 59% ในปี 2022
โดยหนึ่งในแบรนด์รถอีวีจีนที่ใหญ่ที่สุดคือ “BYD” แบรนด์รถยนต์รายนี้หวังจะขึ้นเป็นผู้นำที่ทำยอดขายได้มากที่สุดของโลกแทนที่ “Tesla”
การแข่งขันระหว่างสองแบรนด์นี้เข้มข้นมาก เมื่อช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา BYD ขายรถยนต์ได้น้อยกว่า Tesla ไปเพียง 3,000 คันเท่านั้น และนักวิเคราะห์เชื่อว่า BYD จะเอาชนะ Tesla ได้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2023
มีรุ่นถูกกว่าให้เลือก
เหตุผลหลักที่จะทำให้ BYD ชนะ Tesla ได้ คือการมีรุ่นรถหลากหลายกว่า โดยเฉพาะรุ่นที่ถูกกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า
ปัจจุบัน Tesla มีรถยนต์ขายเพียง 4 รุ่นหลัก คือ Model S, Model 3, Model X และ Model Y SUV ซึ่งราคารถก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มพรีเมียม ด้วยช่วงราคาระหว่าง 40,000-100,000 เหรียญสหรัฐต่อคัน (ประมาณ 1.4-3.5 ล้านบาท)
ในทางตรงข้าม BYD เน้นเรื่องการผลิตรถยนต์ราคาเข้าถึงได้ ทำให้ปีนี้บริษัทเปิดตัวรถยนต์รุ่น Seagull ราคาเริ่มต้นเพียง 10,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 350,000 บาท) และกลายเป็นรถรุ่นขายดีอันดับ 4 ในประเทศจีนทันที
ส่วนรถรุ่นกลางของ BYD ก็มีสารพัดรุ่น ไม่ว่าจะ Song, Qin Plus, Dolphin, Yuan Plus และ Han ทั้งหมดล้วนอยู่ในกลุ่ม Top 10 รถอีวีขายดีในจีน
“BYD ใช้วิธีนำเสนอรถยนต์รุ่นราคาที่มีผู้บริโภคอยู่มากที่สุด เพื่อเป็นกลยุทธ์สร้างปริมาณการขาย เราจะเห็นได้จากผลลัพธ์ในปีนี้ว่ากลยุทธ์นี้ได้ผลดี” Seth Goldstein นักวิเคราะห์หุ้น Morningstar ให้สัมภาษณ์กับ Business Insider
Goldstein มองว่าดีมานด์ต่อรถยนต์ Tesla ก็ยังแข็งแรงอยู่ แต่เห็นว่าบริษัทควรจะต้อง “เสนอรถยนต์รุ่นที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพื่อแข่งกับ BYD” หากว่า Tesla ยังต้องการจะเป็นรถยนต์อีวีที่ขายดีที่สุดในโลกต่อไป
ทั้งนี้ Tesla ขายรถอีวีได้ 1.3 ล้านคันทั่วโลกเมื่อปี 2022 และ Elon Musk ประกาศไว้ว่าเขาต้องการจะขายรถอีวีให้ได้ 20 ล้านคันภายในปี 2030
- RÊVER โชว์ยอดขาย ‘BYD’ ทะลุ 3 หมื่นคัน ครอง 40% ตลาดรถอีวีไทย
- Tesla อาจผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก เริ่มต้นที่ 25,000 ยูโร หลังบริษัทคิดค้นนวัตกรรมการผลิตรูปแบบใหม่
อานิสงส์ซัพพลายเชนอยู่ในกำมือ “จีน”
บริษัทรถจีนยังได้เปรียบจากการควบคุมซัพพลายเชนแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอีกด้วย โดยแบตเตอรี่ถือเป็นต้นทุนสำคัญของรถอีวี คิดเป็นสัดส่วน 30-50% ของต้นทุนรถ
Morgan Stanley รายงานในงานวิจัยเดือนกรกฎาคม 2023 ว่า บริษัทรถจีนปัจจุบันนี้ “มีอิทธิพลเหนือตลาดในด้านแรงงานและโครงสร้างพื้นฐานการผลิต ไปจนถึงเหมืองแร่สำคัญที่จำเป็นต่อการผลิตรถอีวี”
รายงานฉบับนี้แจ้งว่า “ซัพพลายเชนผลิตแบตเตอรี่รถต้องพึ่งพิงจีนสูงถึง 90%” และ “สองบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์รายใหญ่ที่สุดของจีนคือ CATL และ BYD เป็นผู้ควบคุมตลาดมากกว่าครึ่งของตลาด”
Goldstein จาก Morningstar เสริมด้วยว่า การส่งเสริมของรัฐบาลจีนก็เป็นอีกส่วนที่ทำให้รถอีวีจีนขายดี เพราะรัฐบาลจีนมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จที่ใหญ่ที่สุดในโลกไว้แล้ว ด้วยค่าเฉลี่ยมีสถานีชาร์จประสิทธิภาพแรงสูงทุกๆ 50 กิโลเมตรบนถนนทางหลวงขนาดใหญ่ ซึ่งนั่นคือเรื่องสำคัญที่สุดที่จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่ชาร์จ
เมื่อโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้ว ทำให้แม้ว่าจีนจะยกเลิกการอุดหนุนราคารถยนต์ไฟฟ้าแล้วเมื่อปี 2022 แต่ในปี 2023 รถอีวีในจีนก็ยังขายดีอยู่
กลับมาที่ภาพระดับโลก ปัจจุบันรถอีวีจีนนับว่ายังไม่ได้บุกตลาดโลกทุกตลาดอย่างเต็มที่ ยังมีเวลาให้ Tesla แก้เกมกลับสำหรับศึกชิงมงรถอีวีที่ขายดีที่สุดในโลก!