ถอดรหัส Starbucks Mobile Marketer of the year

แบรนด์ผู้นำด้านการทำการตลาดด้วยโทรศัพท์มือถือ และสำหรับผู้เขียนที่ติดตามวงการMobile Marketing มานับทศวรรษก็เห็นตรงกันว่า ณ ชั่วโมงนี้ไม่มีแบรนด์ค้าปลีกใดในโลกนี้ที่จะประสบความสำเร็จการจากทำการตลาดด้วยเทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือได้มากเท่ากับ “สตาร์บัคส์” 

เหตุใด?…แบรนด์ที่มีตำนานกว่า 40 ปีในโลกออฟไลน์ซึ่งเน้นหนักหนาเรื่องการทำธุรกิจโดยปฏิวัติการดื่มกาแฟและเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งการจิบกาแฟตามแบบฉบับอิตาลี ทั้งยังเป็นบริษัทที่ครั้งหนึ่งรู้ตัวดีว่าไม่ทันเทรนด์โลกไอทีแต่อย่างใด…แต่แล้วในที่สุดก็สามารถพิชิตใจลูกค้าด้วยเทคโนโลยีการตลาดที่สุดล้ำสมัย และคว้าชัยชนะเป็นรายได้ก้อนโต คำตอบเชิงวิเคราะห์อยู่ในย่อหน้าถัดไปแล้ว

คุณลองพิจารณาตัวเลขที่เยอะแต่ไม่ซับซ้อนเหล่านี้ก่อน…

ปี 2011 ทีมดิจิตอลเวนเจอร์ของสตาร์บัคส์รุก Mobile Marketing อย่างหนักด้วยการทำแอพฯ  My Starbucks Card ทำให้ยอดการจ่ายเงินซื้อกาแฟรสกลมกล่อมด้วยแอพฯ มือถือ มีกว่า 26 ล้านครั้ง ซึ่งคิดเป็นเงินที่เติมเข้าไปในแอพฯ ถึง 3,520 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายโตกว่าปีก่อนถึง 16% และทุก 1 ใน 4 คนของลูกค้าจ่ายเงินผ่านการ์ด (จากยอดสมาชิกทั้งหมด 3.7 ล้านคน) ที่สำคัญการจ่ายเงินด้วยมือถือยังลดเวลาการต่อคิวในร้านได้ถึง 700,000 ชั่วโมง/ปี ปัจจุบันมีร้านสตาร์บัคส์ กว่า 9,000 สาขาในอเมริกา อังกฤษ และแคนาดาที่รับการจ่ายเงินด้วยแอพฯ มือถือ

แต่ทว่าแล้วเม็ดเงินเหล่านี้ก็ถือว่าจิ๊บๆ เพราะนักวิเคราะห์คาดว่าตลาด Mobile Payment ในอเมริกาปีนี้ จะมียอดการจับจ่ายถึง 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเปิดฉากแนวคิดของไลฟ์สไตล์ใหม่ที่ว่า “การใช้เงินสดเป็นอะไรที่เชยสุดๆ” (อย่างเป็นทางการ)

เหตุผลที่ทำให้สตาร์บัคส์สามารถหาจุดเชื่อมโยงระหว่างการค้าปลีกในโลกออฟไลน์กับการทำธุรรมไฮเทคของมือถือได้ ก็เพราะนโยบายหลักสำคัญของบริษัทหลังการฟื้นตัวจากวิกฤตปี 2008 นั่นคือ “การสร้างนวัตกรรม” นวัตกรรมที่สร้างมาจากการเข้าใจธรรมชาติ และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของมนุษย์ จนจุดประกายให้เกิดความผูกพันทางใจใหม่ๆ กับลูกค้าคนพิเศษ

คำพูดที่สวยหรูทั้งหมดนี้นักการตลาดอย่างเราๆ เรียกกันว่า CRM (Customers Relationship Management) 

หลายคนอาจจะคิดในใจว่าในโลกแห่ง CRM ไม่น่าจะมีอะไรใหม่ แล้วทำไมการใช้ “สื่อมือถือ” ในการทำ Digital CRM ถึงทำให้การทำ CRM ในยุคนี้เข้าใกล้กับคำอุทานแบบฝรั่งที่ว่า “Awesome” ได้?

นั่นก็เพราะนอกเหนือจากการที่เราจะเข้าใจ Key to success ของการตลาดแบบดิจิตอลผ่านมือถือที่ว่า Social และLocal แล้วเราจำต้องเข้าถึงธรรมชาติของสื่อมือถือที่ว่า มันเป็นสื่อๆ เดียวที่ติดตัวคุณ (แต่ละคน) ไปตลอดแม้กระทั่งในห้องนอน-ห้องน้ำ ต่อเน็ตเพื่อรับข่าวสารผ่านจอจิ๋วๆ นี้ตลอดเวลาและ Unlimited ใช้มือถือจ่ายตังค์ซื้อของได้ ทั้งการวัดผลการมีปฏิสัมพันธ์และการทำธุรกรรมผ่านมือถือแต่ละครั้งทำได้โดยง่าย และเข้าถึงผู้ใช้เป็นรายบุคคลได้ทันที ซึ่งคุณสมบัติเทพๆ ทั้งหมดนี้ยังไม่มีสื่อใดๆ ในประวัติการณ์ทำได้มาก่อน!

และสำหรับโฮเวิร์ด ชู้ลทซ์ ซีอีโอสตาร์บัคส์ก็มองอย่างทะลุปรุโปร่งเช่นเดียวกันว่า “มือถือ” คือ “สื่อใหม่” ที่เป็นเหมือน “เครื่องมือ” เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการดื่มกาแฟถ้วยโปรด…ซึ่ง

ประสบการณ์เหล่านั้นพูดให้เห็นภาพก็คือ… 

เมื่อคุณแดนนี่ใช้มือถือสแกนบาร์โค้ดแทนบัตรสตาร์บัคส์ การ์ด ก็ไม่ต้องเสียเวลาหาบัตรในกระเป๋าสตางค์ ลดเวลาต่อคิว และไม่ต้องรอเงินทอน 

ส่วนคุณเพิร์ลก็สามารถสั่งกาแฟมัคคิอาโต้ 2 ช็อต เพิ่มไซรับมิ้นท์ ถ้วยใหญ่ โดยไม่ต้องพูดประโยคยาวๆ นี้ซ้ำๆ ทุกๆ ครั้งที่เข้าร้าน เพราะออเดอร์เหล่านี้เลือกได้จากเมนูการสร้างกาแฟถ้วยโปรดในแอพฯ My Starbucks Card

และแม่เหล็กที่ทำให้พอลกลับมาสตาร์บัคส์อีกในทุกๆ เสาร์ก็เพราะเขาจะได้สะสมแต้มจนเป็นลูกค้าระดับทอง ซึ่งได้จากการดื่มเองและส่งของขวัญเป็น Egift ให้เพื่อนดื่มกาแฟฟรี การซื้อซ้ำเหล่านี้ สตาร์บัคส์ก็จะตอบแทนด้วยการดื่มกาแฟฟรีในเดือนเกิด และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกนั่นเอง

แต่ประเด็นใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ว่าแอพฯ ซื้อกาแฟของสตาร์บัคส์มีฟีเจอร์ครบครันกว่าแอพฯ ผู้นำโลกค้าปลีกอื่นๆ  แต่สิ่งที่น่าสนใจกลับเป็นว่า ทำไมสตาร์บัคส์ถึงทำให้ลูกค้ามาใช้จ่ายผ่านมือถือได้มากกว่าใครต่างหาก?

ซึ่งคำตอบก็คือ “ความแข็งแกร่งของแบรนด์สตาร์บัคส์” และตำนานของแบรนด์สั่งสมจนทำให้เกิดความน่าเชื่อถือในใจของผู้บริโภค และแน่นแฟ้นจนกลายเป็นความเชื่อมั่นในที่สุด (ลูกค้าเชื่อว่าการทำธุรกรรมโดยโอนเงินจากบัตรเครดิตเข้าการ์ดพลาสติกหรือแอปฯบนมือถือนี้ปลอดภัยอย่างแน่นอน) ประกอบกับตลอดปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีข่าวเรื่องแฮคข้อมูลบัตรเครดิตใดๆ เกิดขึ้นภายใต้แบรนด์สีเขียวที่แสนอบอุ่นนี้

นอกจากนี้หลายๆ คนในเมืองใหญ่คุ้นเคยกับ “การจิบกาแฟทุกวัน” จนกลายเป็นนิสัยมากกว่าจะเป็นแค่ไลฟ์สไตล์เท่ๆ เท่านั้น จึงทำให้ค่าใช้จ่ายค่ากาแฟ ถูกบันทึกใน Mindset ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในแต่ละวันอยู่แล้ว ดังนั้นการจ่ายเงินที่รวดเร็ว และได้สะสมแต้มเป็นรางวัลก็น่าจะเป็นวิธีการที่ผู้บริโภคระดับ B+ ขึ้นไปอ้าแขนที่จะเรียนรู้เทคโนโลยีการจ่ายเงินใหม่ๆ ได้ไม่ยาก

สองจุดนี้ได้ตอกย้ำเสน่ห์สำคัญของการใช้ Mobile Marketing อย่างชัดเจนว่ามันคือ “เครื่องมือสำคัญสำหรับการรักษาฐานลูกค้าที่จงรักภักดีอยู่แล้ว ให้อยู่กับเราไปอีกนานแสนนานนั่นเอง”

เพราะความจริงคือ ยิ่งคนใช้แอพฯ เหล่านี้มากเท่าไหร่ ระบบก็จะเก็บข้อมูลตัวตนของลูกค้าได้อย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อมูลลักษณะประชากร ไปจนถึงไลฟ์สไตล์รสกาแฟที่ชอบ สถานที่ซื้อประจำ ยอดการซื้อแต่ละครั้ง ฯลฯ และสตาร์บัคส์ก็นำข้อมูลเหล่านี้มาประมวลผลเป็นข้อมูลประกอบการออกโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับลูกค้าแต่ละคนในที่สุด ซึ่งก็ Win กันทุกฝ่าย สไตล์ Digital CRM ที่ได้ผลและครบวงจร  

 

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

2011
Starbucks Mobile Marketing Timeline มิถุนายน ออกแอพฯ My Starbucks Card
บนบนไอโฟน และแอนดรอยด์ 2.1 (ภายหลังอัพเกรดมาเป็นแอพฯ ชื่อว่า Starbucks
for iPhone, Starbucks for Android แทน) ซึ่งสามารถใช้จ่ายเงินซื้อกาแฟ
บันทึกรสกาแฟที่ชอบ เติมเงิน-เช็กยอดเงิน  ส่ง egift
ให้เพื่อนดื่มกาแฟฟรีได้ และค้นหาร้านสตาร์บัคส์ที่ใกล้ตัวที่สุดได้ สิงหาคม แจกการ์ด Pick of the week
ที่ภายในบรรจุโค้ด เพื่อให้คนนำไปโหลดแอพฯ ดังๆ เช่น Shazam Encore
ได้ฟรีบนไอโฟน กันยายน ออกแอพฯ My Starbucks Card
สำหรับมือถือแบล็คเบอร์รี่ (ขณะนี้หยุดให้บริการ) ตุลาคม ร่วมกับ Placecast ผู้ทำระบบ
GeoFenced ส่งโฆษณา SMS เฉพาะกลุ่ม เพศ อายุ ความสนใจ
และสถานที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับส่วนลดซื้อกาแฟผงสำเร็จรูป “Starbucks
via ready brew” จากร้านสตาบั๊คส์สาขาใกล้เคียง ได้ในราคาพิเศษ พฤศจิกายน ออกแอพฯ
ที่ใช้เทคนิคระบบเสมือนเสริม (Augmented Reality) ภายใต้ชื่อแอพฯ ว่า
Starbucks Cup Magic ในไอโฟน และแอนดรอยด์
ซึ่งใช้การสแกนถ้วยของสตาร์บัคส์ที่ออกพิเศษในแต่ละเทศกาล เช่น คริสต์มาส
วาเลนไทน์ และจะพบกับตัวการ์ตูนหรือข้อความพิเศษลอยออกมา
ทั้งยังส่งข้อความเหล่านี้แทนอีการ์ดอวยพรเพื่อนๆ ได้ ธันวาคม เปิดฉาก Mobile Marketing ในจีน
โดยลงแบนเนอร์โฆษณาในแอพฯ เครือข่ายทางสังคมสุดฮอต 3 แอพฯ รวมถึงแอพฯ
ฮิตอย่าง “เวยป๋อ”
เพื่อกระตุ้นให้คนที่เช็กอินที่ร้านสตาร์บัคส์และแชร์การเช็กอินกับเพื่อนๆ
เพื่อสะสมแต้มแลกกับการอัพเกรดขนาดแก้วกาแฟฟรี