เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XSpring) ประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กร หลังจากองค์กรครบรอบ 50 ปี โดยตั้งเป้ารายได้ในปี 2024 นี้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักในปีนี้จะเน้นไปยังธุรกิจวาณิชธนกิจ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่เริ่มเข้ามาพูดคุยกับบริษัทมากขึ้นในช่วง 2 เดือนข้างหน้า
วรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ (MD) บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงธุรกิจของบริษัทครอบคลุมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจุบัน XSpring มีบริการทางการเงิน 6 ธุรกิจ แยกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- บริการทางการเงินสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเงินทุน ประกอบด้วย บริการด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) และ ธุรกิจสินเชื่อ (Debt Financing)
- บริการทางการเงินสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุน ประกอบด้วย ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) และ ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์และสินทรัพย์ดิจิทัล (Brokerage)
- ธุรกิจอื่นๆ ภายใต้กลุ่มบริษัทเอ็กซ์สปริง ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจการลงทุน ซึ่งลงทุนในบริษัทต่างๆ รวมถึง ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
สำหรับผลการดำเนินงานของ XSpring ในปี 2023 มีรายได้รวม 681.1 ล้านบาท รายได้หลักที่เป็นตัวผลักดันธุรกิจในปี 2566 ของบริษัทฯ มาจากหลายด้าน ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ 505.7 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการอยู่ที่ 87.2 ล้านบาท และรายได้จากเงินลงทุน 75.7 ล้านบาท โดยกำไรของบริษัทในปีนี้อยู่ที่ 106.09 ล้านบาท
ผู้จัดการใหญ่ของ Xspring ได้กล่าวถึงในปีนี้จะเน้นไปยังการเพิ่มรายได้ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการรุกในธุรกิจ Investment Banking โดยเน้นเป็นตัวกลางสำหรับผู้ลงทุน และผู้ที่ต้องการเงินลงทุน หรือแม้แต่การออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อตอบโจทย์ของนักลงทุน เช่น กองทุนประเภท Private Credit สำหรับนักลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูง หรือกองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นอกตลาด (Private Real Estate) เป็นต้น
ระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง การครบรอบขององค์กรในรอบ 50 ปี โดยเขาได้กล่าวถึงชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 50 (ซึ่งสอดคล้องกับอายุของบริษัท) ว่าบริษัทได้ผ่านความล้มเหลวหลายเรื่อง และกลัวผิดเรื่องซ้ำซาก ตอนนี้กำลังประมวลผลว่าอะไรที่ผิดพลาดไปบ้าง นอกจากนี้เขายังเสียใจกับเรื่องในอดีตที่ทำให้นักลงทุนเสียหาย
CEO ของ XSpring ยังกล่าวถึง อนาคตของบริษัทว่า ตอนนี้เขามองว่าอะไรที่ควรทำในอนาคต แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดที่บริษัทเป็นผู้เล่นรายเล็กมาก แล้วคำถามคือบริษัทจะเอาอะไรไปสู้ได้บ้าง ซึ่งแผนธุรกิจบริษัทที่เขามองคือต้องทำให้เกิดพิมพ์เขียวที่สามารถพิมพ์ได้เรื่อยๆ และต้นทุนที่ต่ำ สร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นให้ได้
ในขณะที่การ Transformation องค์กร เขาชี้ว่าต้องทำในหลายธุรกิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวพูดง่ายแต่ทำยาก นอกจากนี้เขายังชี้ว่าการทำให้ทีมเห็นภาพเดียวกันกับผู้บริหารถือว่าไม่ง่าย และทุกกิจกรรมต้องมีคนที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงต้องมีการสร้างทีม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนั้นต้องใช้เวลาเช่นกัน
นอกจากนี้ ระเฑียร ได้ชูจุดเด่นของธุรกิจ Investment Banking คือต้องเชื่อมระหว่างคนต้องการเงินกับคนที่ต้องการลงทุน โดยมองว่าธุรกิจดังกล่าวเป็นโอกาสของบริษัท และมองว่าบริษัทขนาดกลางๆ หรือรายย่อยนั้นเหมาะสมกับบริษัท เขายังชี้ว่ามีบริษัทเข้ามาคุยดีลมากขึ้นในช่วง 2 เดือนข้างหน้า
สำหรับเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้ที่ 1,000 ล้านบาท ระเฑียร ชี้ว่าไม่อยากสร้างความคาดหวังมาก เขาได้ชี้กรณีที่เขาได้เปลี่ยนแปลงองค์กรอย่าง KTC ซึ่งต้องใช้เวลาเช่นกัน และยังมองเห็นปัญหาในบริษัทที่ยังเยอะ และกำลังแก้ปัญหาดังกล่าวซึ่งเขาเชื่อว่าทำให้เรื่องดังกล่าวดีขึ้นได้