กรุงศรีฯ คาดสินเชื่อธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่น-บรรษัทข้ามชาติ โต 7% ในปีนี้ มองกลุ่ม อสังหาฯ อิเล็กทรอนิกส์ ต้องการลงทุนมากขึ้น

กรุงศรีฯ คาดสินเชื่อธุรกิจลูกค้าญี่ปุ่น-บรรษัทข้ามชาติ โต 7% ในปีนี้ โดยมองว่าอาเซียนได้ปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิต หรือแม้แต่ปัจจัยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันมองว่าลูกค้ากลุ่มอสังหาฯ หรืออิเล็กทรอนิกส์ ต้องการขยายธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้ยังชักชวนให้ผู้ประกอบการขยายธุรกิจออกไปในภูมิภาคเพิ่มเติม

บุนเซอิ โอคุโบะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึง กลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC) และบรรษัทข้ามชาติ (MNC) ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งพอร์ตสินเชื่อเหล่านี้ บุนเซอิ ได้กล่าวว่า NPL สำหรับกลุ่มลูกค้านี้ถือว่าน้อยมาก

ผู้บริหารรายนี้ยังได้กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของทางกลุ่มมีตั้งแต่อุตสาหกรรมหนักอย่างธุรกิจพลังงาน โลหะ ผลิตภัณฑ์เคมี ไปจนถึงอุตสาหกรรมเบาอย่างผู้ให้บริการทางการเงิน แพลตฟอร์มการบริการจัดส่งพัสดุ สินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น

สำหรับกลยุทธ์ที่ทางธนาคารจะนำมาใช้ในปีนี้ ประกอบไปด้วย

  1. เร่งส่งเสริมระบบนิเวศด้านความยั่งยืนให้กับสังคมไทย โดยอาศัยจุดแข็งในการมีความรู้ ความชำนาญในด้าน ESG ผ่านความร่วมมือกับ MUFG เพื่อนำเสนอโซลูชันทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้
  2. ต่อยอดความร่วมมือเพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ โดยจะขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับ ลาว และเวียดนาม เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัลที่เอื้อต่อสังคม ชุมชน ทั้งในประเทศไทยและอาเซียน
  3. ขยายฐานลูกค้าบรรษัทข้ามชาติจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเอเชียตะวันออก (East Asian Economies) ด้วยพื้นฐานและปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในประเทศไทย ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ดึงดูดการลงทุนจากกลุ่มประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะจีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลี กรุงศรีจะใช้โอกาสนี้ทำงานร่วมกับ MUFG ในการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจจากกลุ่มประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนและขยายการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย
  4. ยกระดับบริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจ Krungsri ASEAN LINK เชื่อมทุกความต้องการทำธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยกรุงศรีพร้อมใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสานพลังเครือข่ายธุรกิจของธนาคาร และ MUFG ที่ครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศในอาเซียน อาทิ Danamon Bank ในอินโดนีเซีย VietinBank ในเวียดนาม และ Security Bank ในฟิลิปปินส์ เพื่อต่อยอดบริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับลูกค้าที่ต้องการขยายธุรกิจสู่อาเซียน ตั้งแต่ในขั้นตอนเริ่มแรก เช่น การสำรวจแปลงที่ดิน การรวบรวมข้อมูลและกฎระเบียบ จนถึงการจัดตั้งและดำเนินการทางธุรกิจในต่างประเทศ

ปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในอาเซียนเพิ่มมากขึ้นในมุมของผู้บริหารรายนี้ ได้แก่ ปัญหาเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ หรือแม้แต่เรื่องการกระจายความเสี่ยงในเรื่อง Supply Chain

ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติฯ ยังได้กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา อัตราการปล่อยสินเชื่อกลับติดลบเนื่องจากกลุ่มยานยนต์มีผลประกอบการไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนของประเทศไทย แต่เขายังมองว่าอุตสาหกรรมอื่น เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์  ดูเหมือนจะมีการลงทุนมากขึ้น

นอกจากนี้ผู้ประกอบการจากประเทศญี่ปุ่นเองได้เข้ามาร่วมทุนหรือลงทุนในประเทศไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม เนื่องจากมีข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแลว่าสามารถถือหุ้นได้สัดส่วนเท่าใด เช่น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นได้มาร่วมทุนในประเทศไทย เป็นต้น

สำหรับมุมมองการลงทุนในอาเซียน เขาได้ชี้ว่าในช่วงที่ผ่านมาบริษัทจากจีนและญี่ปุ่นต่างเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยอุตสาหกรรมเด่นๆ เช่น พลังงานทดแทน ภาคการผลิต หรือแม้แต่กลุ่มขนส่ง Logistics ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เองก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง และต้องการให้ลูกค้าขยายการลงทุนในภูมิภาคนี้ด้วย

ในส่วนของเศรษฐกิจไทย เขามองว่าตัวเลขอัตราการเติบโตของสินเชื่อในช่วง 2-3 ปีนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับ GDP ของไทย

ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติฯ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยังตั้งเป้าว่าสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจฯ จะสามารถเติบโตได้ถึง 7% ในปีนี้ และเขาเองยอมรับว่ามีความท้าทาย แต่ลูกค้าหลายธุรกิจเองต้องการที่จะขยายธุรกิจเพิ่มมากขึ้น