‘โซดาสิงห์’ ผนึก ‘ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน’ เดินหน้าสร้างแบรนด์ รักษาส่วนแบ่งตลาด 90% ในวันที่ตลาดหดตัว

ถ้าพูดถึงตลาด โซดา เชื่อว่าชื่อแรกที่คนไทยจะนึกถึงก็คือ โซดาสิงห์ ซึ่งไม่ใช่อะไรที่น่าแปลก ด้วยอายุแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานานกว่า 90 ปี พร้อมด้วยความแข็งแรงระดับครองส่วนแบ่งตลาดเกิน 90% และหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้โซดาสิงห์สามารถครองตลาดและเป็น Top of mind ของผู้บริโภคได้ก็คือ การทำให้แบรนด์ดูทันสมัยอยู่เสมอ

เดินหน้ากลยุทธ์ คอลแลป ต่อเนื่อง

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ โซดาสิงห์ ใช้ทำให้แบรนด์ทันสมัยและอยู่ในสายตาผู้บริโภคอยู่เสมอ แม้แบรนด์จะมีอายุถึง 91 ปี ก็คือ กลยุทธ์ Collaboration ที่ทำต่อเนื่องทุกปี อย่างในปีที่ผ่านมา ก็มีพันธมิตรหลากหลายสไตล์ เช่น ALEX FACE ศิลปินไทยผู้สร้างผลงานกราฟฟิตี้ดังไกลทั่วโลก, “มิสเตอร์การ์ตูน” (Mr.Cartoon) ศิลปินช่างสักระดับโลก และ Dry Clean Only แบรนด์แฟชั่นสตรีทอาร์ตสัญชาติไทย ฯลฯ มาร่วมสร้างสรรค์ฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น

มาปีนี้ โซดาสิงห์ได้ Collaboration กับแบรนด์รถมอเตอร์ไซค์อายุ 121 ปีอย่าง ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน (Harley-Davidson) หลังจากใช้เวลาพูดคุยนาน 3 ปี ซึ่งถือเป็นการคอลแลปกับแบรนด์ใหญ่สุดที่เคยร่วมงานด้วย และถือเป็นเป็นครั้งแรกในเอเชียที่ฮาร์เล่ย์-เดวิดสันทำตลาดร่วมกับแบรนด์เครื่องดื่ม

สำหรับแคมเปญ ซ่าให้สุดทาง ที่ Collaboration ฮาร์เล่ย์-เดวิดสัน จะมีการทำฉลากลิมิเต็ด อิดิชั่น, Gift set และ เสื้อออฟฟิเชียลคอลเลกชัน และกิจกรรมโรดโชว์ที่จะเดินทางไปยังจังหวัด ภูเก็ต, พิษณุโลก, นครราชสีมา, เชียงใหม่ และปิดท้ายที่จังหวัดเชียงราย กับงาน Asia Harley Days(TM) ที่จะจัดคู่กับ คอนเสิร์ต Singha Soda Music Concert 2024 ที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย โดยทั้งปี โซดาสิงห์ใช้งบการตลาดทั้งสิ้น 100 ล้านบาท

“เราอยากแสดง Attitude ของโซดาสิงห์ก็คือ ความซ่า แม้จะเป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน แต่ไม่ใช่แบรนด์ที่แก่ เมื่อคนรุ่นใหม่เห็นแบรนด์ต้อง Inspire เขาได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชาย เพราะมอเตอร์ไซค์เป็นหนึ่งในแพชชั่นของเขาอยู่แล้ว” ธิติพร ธรรมมาภิมุขกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท บุญรอดเทรดดิ้ง จำกัด กล่าว

ครองแชร์ 92% ก็อยู่เฉยไม่ได้

แม้ปัจจุบันโซดาสิงห์มีส่วนแบ่งในตลาดโซดา 91-92% แต่ ธิติพร มองว่า แบรนด์ยังต้องทำตลาดอยู่ตลอดไม่สามารถหยุดได้ เพราะแบรนด์คู่แข่งยังพยายามจะเจาะเข้ามา ดังนั้น โซดาสิงห์อาจไม่ได้หวังเรื่องการเติบโตของส่วนแบ่งตลาด แต่ต้องการรักษาให้ ไม่ต่ำกว่า 90%

“ที่แชร์เราเยอะเพราะเราทำตลาดโดยตลอด ไม่ใช่ว่าไม่มีคู่แข่ง มีหลายแบรนด์พยายามจาะเข้ามา ดังนั้น ต่อให้เราเป็นที่ 1 เราก็ต้องเดิน ไม่ใช่ยืนในระหว่างที่คู่แข่งเดิน มีหลายแบรนด์ทำกลยุทธ์ราคา แต่ผู้บริโภคยังเลือกเรา เพราะด้วยคุณภาพ จุดเด่นที่ความซ่า และซ่านาน”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตลาดโซดา 1.2 หมื่นล้านบาท ไม่เติบโต โดยปีนี้คาดว่าจะ หดตัว 5% เนื่องจากตลาดโซดา 50% ถูกขับเคลื่อนโดยการ บริโภคเหล้าสี เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้การบริโภคลดลง ส่งผลให้ตลาดเหล้าสี หดตัว 10% ซึ่งกระทบกับตลาดโซดาไปด้วย

“ภาวะเศรษฐกิจมีผลทำให้คนบริโภคเหล้าน้อยลง ซึ่งการบริโภคเหล้าส่วนใหญ่จะดื่มในร้าน ไปกับเพื่อน ไปสังสรรค์ ซึ่งเมื่อการบริโภคข้างนอกลดลง ก็ส่งผลกับตลาดโซดา” 

ตลาดไทยฟื้นยาก ขอไปโตต่างประเทศ

ปัจจุบัน การบริโภคโซดา 70% มาจากการดื่มกับเหล้า 20% นำไปผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และ 10% ดื่มโซดาเปล่า ซึ่งโซดาสิงห์พยายามจะทำตลาดออนไลน์กับกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมองว่าเป็นอีกตลาดที่มีโอกาส แต่ต้องยอมรับว่าสัดส่วนจะยัง ไม่ใกล้เคียงกับการผสมเหล้า ในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ดังนั้น โซดาสิงห์จึงมองโอกาสการเติบโตไปที่ ตลาดต่างประเทศ มากกว่า

“โดยเฉลี่ยเหล้า 1 ขวดผสมโซดา 6 ขวด แต่ผู้บริโภคทั่วไปใช้แค่ 1 ชวดในการผสมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ดังนั้น สัดส่วนกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์จะไม่มาใกล้กับเหล้าเร็ว ๆ แน่นอน”

ปัจจุบัน สัดส่วนการขายในไทยคิดเป็น 90% ต่างประเทศ 10% โดยตลาดหลัก ๆ จะเป็น เกาหลีใต้, จีน และฮ่องกง แต่ที่เติบโตดีสุดคือ เกาหลีใต้ ซึ่งแบรนด์พยายามจะทำตลาดจริงจังมากขึ้น ผ่านการเป็นสปอนเซอร์ในคอนเสิร์ตต่าง ๆ และขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมมากขึ้น คาดว่าภายใน 2-3 ปีจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 15% และถ้าตลาดมีวอลลุ่มมากพอ อาจมีแผน เปิดโรงงาน ในประเทศนั้น ๆ

“แม้ว่าทั้งเกาหลีใต้และจีนจะนิยมดื่มโซจูหรือเหล้าขาว แต่ตอนนี้เริ่มเห็นเทรนด์การบริโภค High Ball (เหล้าโซดา) มากขึ้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การจะกินแชร์ในไทยมากกว่านี้มันยาก เราเลยต้องไปโตเมืองนอก และตลาดโซดาจะฟื้นไม่ฟื้นก็ขึ้นอยู่กับตลาดเหล้า”