“จีน” ขยายนโยบายฟรีวีซ่าอีก 9 ประเทศ มีผลบังคับใช้ถึง 31 ธ.ค. 2025

“จีน” ออกประกาศ ขยายนโยบายฟรีวีซ่า (visa-free) ให้พลเมืองของอีก 9 ประเทศ สามารถเข้าประเทศจีนได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าเยี่ยมชม โดยผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาจาก 8 ประเทศในยุโรป ได้แก่ 

-สโลวาเกีย 

-นอร์เวย์ 

-ฟินแลนด์ 

-เดนมาร์ก 

-ไอซ์แลนด์ 

-อันดอร์รา 

-โมนาโก 

-ลิกเตนสไตน์

รวมถึง “ผู้ถือหนังสือเกาหลีใต้” ก็สามารถเยี่ยมชมเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือพักผ่อนที่ประเทศจีน ได้นานถึง 15 วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า โดยการยกเว้นวีซ่าจะมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2025

ซึ่งเกาหลีใต้ถือเป็นตลาดแหล่งท่องเที่ยวที่สําคัญของจีนอีกตลาดหนึ่ง โดยในปี 2019 มีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 4.3 ล้านคนเดินทางมาเยือนประเทศจีน แต่ในปี 2023 จีนมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้น้อยกว่า 1.3 ล้านคน ตามรายงานของ The Korea Times กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลี

การประกาศขยายโครงการปลอดวีซ่า ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทท่องเที่ยวของจีนและเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น หุ้นของ Trip.com มีการเพิ่มขึ้นมากกว่า 5% ในขณะที่สายการบินต้นทุนต่ำอย่าง Jin Air หุ้นเพิ่มขึ้นเกือบ 4%

เห็นได้ชัดว่าจีนมีความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการการท่องเที่ยวขาเข้าที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนักเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ที่ในปี 2019 ประเทศจีนต้อนรับนักท่องเที่ยวประมาณ 49.1 ล้านคน โดยมีชาวต่างชาติประมาณ 17.25 ล้านคน ตามรายงานของสํานักข่าวซินหัว

นโยบายการยกเว้นวีซ่าของจีน จึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการดึงดูดชาวต่างชาติให้มาเยี่ยมเยียนและกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติกว่า 8.2 ล้านคน เพิ่มขึ้น 49% จากปี 2023 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 4.9 ล้านคน 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จีน ยังคงพยายามปรับปรุงการบริการให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงปัญหาการชําระเงินที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญภายในจีน ตัวอย่างเช่น รัฐบาลกําหนดให้สถานที่ท่องเที่ยวที่สําคัญยอมรับบัตรเครดิตและเงินสดจากต่างประเทศได้

และจีนยังพยายามฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบินให้กลับสู่ภาวะก่อนเกิดโรคระบาด โดยสายการบินจีนกําลังเพิ่มเที่ยวบินไปยังยุโรปในช่วงฤดูหนาวนี้ เนื่องจากสายการบินชั้นนําระดับโลกหลายๆ สาย ได้ยกเลิกเที่ยวบินมายังจีน เนื่องจากข้อจํากัดในการบินผ่านน่านฟ้าของรัสเซียและความต้องการของนักท่องเที่ยวยุโรปที่ต่ำลง

ที่มา : CNBC