“Robinhood” บทใหม่ภายใต้ “ยิบอินซอย” ขอเก็บ GP 28% 

เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปี 2567 ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ที่สร้างความตกใจไม่น้อยสำหรับการประกาศยุติการให้บริการของ “Robinhood” แอป Food Delivery ภายใต้การบริหารของบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ที่จะหยุดให้บริการตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.2567 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากบรรลุภารกิจช่วยเหลือร้านค้า ไรเดอร์ และคนตัวเล็กในช่วงวิกฤตโควิดได้ตามเป้าประสงค์ 

อีกทั้งตลาด Food Delivery ของไทยมีการแข่งขันสูงเนื่องจากมีผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดที่ชิงส่วนแบ่งกันอย่างดุเดือด รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากโดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ผู้เล่นรายเล็กอย่าง Robinhood ทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก และบริษัทฯแบกรับภาวะการขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดย

  • ปี 2563 ขาดทุน 87 ล้านบาท
  • ปี 2564 ขาดทุน 1.3 พันล้านบาท
  • ปี 2565 ขาดทุน 1.9 พันล้านบาท 
  • ปี 2566 ตัวเลขการขาดทุนพุ่งสูงกว่า 2.1 พันล้านบาท 

รวม 4 ปีที่ดำเนินกิจการมาบริษัทฯขาดทุนไปแล้ว 5 พันกว่าล้านบาท 

กระทั่งเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 มีการรายงานว่า SCBX ออกมาการแจ้ง “เลื่อน” การยุติการให้บริการ Food Delivery บนแอปพลิเคชัน Robinhood แต่บริการอื่นๆ ในแอปอย่าง Travel, Ride, Mart และ Express ยังคงยุติการให้บริการตามกำหนดเดิมคือในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 เนื่องจากบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิจารณาข้อเสนอเข้าซื้อกิจการทั้งหมดจากผู้ที่สนใจ ที่มีจำนวนมากกว่าที่คาดไว้ 

ซึ่งบริษัทฯที่ขี่ม้าขาวมา คือ “กลุ่มยิบอินซอย” ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ของไทย ผู้อยู่เบื้องหลังและทำงานร่วมกับวงการธุรกิจไทยมาเกือบ 100 ปีแล้ว โดยมีการเซ็นสัญญาปิดดีลซื้อขาย Robinhood ด้วยมูลค่ารวมสูงสุด 2,000 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา

“มรกต  ยิบอินซอย” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส (Robinhood)

ภาคต่อ “Robinhood” ภายใต้การบริหารของ “กลุ่มยิบอินซอย

การที่ SCBX เปลี่ยนใจไม่ปิดบริการแล้ว หากมองดูแบบไม่ลงลึกอะไรมาก “การขายต่อ” ถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเพราะอย่างน้อยยังได้เงินทุนกลับมาอยู่บ้าง แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง คนที่ทำธุรกิจก็ไม่อยากให้สิ่งที่สร้างมากับมือต้องขาดทุนจนล้มหายตายจากไป แต่มุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง SCBX ได้ใช้เกณฑ์ในการพิจารณาผู้ที่สนใจซื้อกิจการ คือ ผู้ซื้อฯ ต้องเป็นกลุ่มธุรกิจสัญชาติไทย ที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ Robinhood เป็นแพลตฟอร์มของคนไทยเพื่อคนไทยต่อไป ซึ่ง “กลุ่มยิบอินซอย” จึงปิดดีลนี้ไปได้ 

เป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วที่ “Robinhood” เข้ามาอยู่ใต้การบริหารงานของ “กลุ่มยิบอินซอย” โดย “มรกต  ยิบอินซอย” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส (Robinhood) เผยว่า การเข้าซื้อ Robinhood มาบริหารต่อ ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักและมีการเติบโตมากขึ้น เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าในยุคนี้ “เทคโนโลยี” และ “แพลตฟอร์มออนไลน์” มีบทบาทสำคัญที่ทำให้การใช้ชีวิตมีความสะดวกสบายขึ้น 

การปิดดีลซื้อขาย Robinhood ในครั้งนี้ ยิบอินซอยเล็งเห็นถึงศักยภาพในการให้บริการส่งอาหารของ Robinhood ที่มีฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ ไรเดอร์มีความสุภาพและรวดเร็ว อีกทั้งร้านค้าที่เปิดให้บริการมีหลากหลายทั้งร้านชื่อดังชั้นนำและร้านเล็กๆที่มีความเฉพาะตัว ทำให้บริษัทฯ มองว่า Robinhood เป็นแพลตฟอร์มไทยที่มีรากฐานที่ดีและสามารถต่อยอดให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ แม้จะมีการตั้งคำถามต่อการซื้อกิจการที่ขาดทุนเข้ามาบริหาร แต่ยิบอินซอยเชื่อว่า Robinhood ยังสามารถเติบโตต่อไปได้เพราะเป็นแอปที่มีจุดแข็งคือเป็นของคนไทยที่พัฒนามาเพื่อการใช้ชีวิตของคนไทย สามารถสร้างการแข่งขัน สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ปูทางต่อยอดโปรเจ็กต์อื่นๆในอนาคตต่อไปได้  โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อต่อวันเฉลี่ยเกือบ 40,000 คำสั่งซื้อ ส่งผลให้ตัวเลขผลประกอบการของ Robinhood มีการเติบโตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ 

เก็บ GP 28% น้อยกว่าตลาด

เจ้าของยิบอินซอย กล่าวอีกว่า Robinhood สามารถออกนอกกรอบกฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้ขยับตัวได้มากขึ้นกว่าเดิม เช่นจากที่เมื่อก่อนอยู่ในกรอบของการดำเนินงานแบบ CSR เป็นหลักและไม่มีพันธมิตรไม่ยุ่งกับใคร แต่ปัจจุบัน สามารถเข้าไปเป็นพันธมิตรกับ KTC ที่ถือเป็นแบงก์ที่มีโปรโมชั่นในการสะสมคะแนนค่อนข้างเยอะได้ แต่หลักสำคัญอย่างเรื่องความปลอดถภัยเราก็ยังคงยึดเอาไ้ว้ พร้อมกับการก้าวไปข้างหน้าเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรเกิดเป็น Good Business Ecosystem

ปัจจุบันทีมงาน Robinhood ที่เป็นทีมงานเดิมมีทั้งหมด 50 คน ซึ่งยิบอินซอยได้ให้ทีมงานของบริษัทฯ เข้าไปช่วยซัพพอร์ตการดำเนินงานในด้านคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงเทคโนโลยีหลังบ้าน เพื่อผลักดันให้ธุรกิจกลับมาเติบโต โดยบริษัทฯ มีการวางแผนในการพัฒนา Robinhood ให้เป็นมากกว่าแอป Food Delivery ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนในปัจจุบันไปแล้ว ให้พัฒนาต่อยอดไปยังกลุ่มบริการ Mart หรือ บริการเรียกรถ 

แต่ขอเริ่มทำสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างการทำให้บริการ Food Delivery ให้มีรากฐานให้แข็งแกร่งขึ้น ผ่านการดำเนินการต่างๆ ทั้งพูดคุยกับพาร์ทเนอร์เพื่อขอการสนับสนุน หรือชักชวนให้ไรเดอร์ ร้านค้า รวมถึงยูสเซอร์ให้กลับเข้ามา Active ในแอป และได้ตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2567 จะสามารถทำยอดการสั่งซื้อให้ได้ 50,000 ออเดอร์ต่อวัน 

และบริษัทฯตั้งเป้าทำออเดอร์คำสั่งซื้ออาหารรายวันให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการทำรายได้จากการเก็บค่า GP จากร้านค้า 28% (GP 25% และค่าการตลาด 3%) โดยเมื่อก่อนร้านค้าอาจไม่ต้องเสียค่า GP เพราะวิกฤตโควิดแต่การดำเนินในปัจจุบันเป็นรูปแบบของธุรกิจมากขึ้นซึ่งต้องมีรายได้และกำไรทำให้ต้องเก็บค่า GP และ Robinhood ก็ให้ตัวเลือกผู้ประกอบการที่ไม่ต้องการจ่ายค่า GP แต่ต้องใช้วิธีการเก็บค่าส่งเต็มจำนวน ซึ่งอาจทำให้มีราคาที่แพงกว่าแอปอื่น

ซึ่งค่า GP ที่ Robinhood เก็บจากร้านค้า 28% นี้ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้เล่นอื่นในตลาด ที่มีการเรียกเก็บค่า GP ตั้งแต่ 30% (ไม่รวม VAT 7%) ไปจนถึง 32% (ไม่รวม VAT 7%) และ 32.1%  (รวม VAT 7% แล้ว) 

มรกต ยิบอินซอย กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยิบอินซอย จำกัด และบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน โรบินฮู้ด (คนที่ 2 นับจากซ้ายมือ), อนุวัต บูรพชัยศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอปพลิเคชั่น Paypoint (คนตรงกลาง), ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควอนตัม เทคโนโลยี ฟาวเดชั่น (คนทรี่ 3 นับจากขวามือ) และคณะพันธมิตร Paypoint

 

เข้าร่วม “Paypoint” ขยายฐานลูกค้า ตั้งเป้ากลับมาแข็งแกร่งใน 2 ปี

ล่าสุด ยิบอินซอย ได้นำเอา “Robinhood” เข้าไปจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ “Paypoint” แอปพลิเคชั่นรวบรวมรับฝากและแลกคะแนนสะสม ภายใต้การบริหารของบริษัท ศูนย์รับฝากคะแนน (ประเทศไทย) จำกัด ในการต่อยอดธุรกิจ ให้ Robinhood สามารถรวบรวมและแลกคะแนนสะสมในการชำระค่าสินค้าและบริการของร้านค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์ตัวแทนของพันธมิตรได้ทั้งในและต่างประเทศ

ผ่านการทำงานของ ควอนตัม เทคโนโลยี พัฒนาระบบร่วมกับ TPD โดยการสร้างกรอบการทำงานเชิงอัลกอริทึมสำหรับ Paypoint ภายใต้การพัฒนาของบริษัท ควอนตัม เทคโนโลยี ฟาวเดชั่น โดยจะคำนวณการรวมคะแนนสะสมเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมระหว่างพันธมิตรแบบเรียลไทม์ ป้องกันการทำ arbitrage (การซื้อของชนิดเดียวกันในราคาที่แตกต่างกัน แล้วนำไปขายทำกำไรต่อโดยปราศจากความเสี่ยง) เพราะผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนคะแนนไปยังกลุ่มพันธมิตรได้โดยตรง มั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมด้วยอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นกับกลไกตลาด 

อาทิ ผู้ใช้ที่มีการสะสมคะแนนจากการใช้บริการของ Robinhood สามารถนำคะแนนสะสมไปแลกหรือใช้จ่ายในบริการที่ต้องการของพันธมิตรได้ เช่น ปั๊มน้ำมันบางจาง หรือ แอร์ เอเชีย ในขณะที่ผู้ใช้ของพาร์ทเนอร์อย่าง แอร์ เอเชีย หรือ บางจาก ก็สามารถรวบรวมคะแนนมาใช้จ่ายบริการของ Robinhood ได้เช่นกัน โดยจะมีการเริ่มใช้ Paypoint ได้ในต้นปี 2568 เป็นต้นไป

ซึ่งปัจจุบัน Paypoint มีพันธมิตรอยู่ 7 บริษัทด้วยกัน ประกอบด้วย 

  •  บริษัท บางจาก  คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท บิ๊กไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Air Asia) 
  • บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด (แอพพลิเคชั่นโรบินฮู้ด)
  • บริษัท เฮลท์อัพ จำกัด
  • บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่นแมเนจเม้นท์ จำกัด
  • บริษัท โกลด์เด้น99 จำกัด
  • MAAI BY KTC โดยบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท พริ้นซิเพิลเฮลท์แคร์ จำกัด 

และในอนาคตจะมีพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมงานกันมากขึ้น รวมถึงการขยายแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมทั้งประเทศไทยและขยายออกไปยังต่างประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคมีอิสระในการในจ่ายคะแนนมากขึ้น พร้อมพาให้ธุรกิจกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมให้ได้ภายใน 2 ปี