นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ กล่าวว่า ปี 2567 แสนสิริ ยังเติบโตแม้เศรษฐกิจเปราะบาง โดยทำยอดขาย 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% (YoY) และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ (รวมโครงการ JV) 43,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% (YoY)
อย่างไรก็ตาม ปี 2568 ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีความท้าทายสูง และอยู่ในจุดต่ำ แต่การฟื้นตัวมองเป็น 2 รูปแบบ คือ U-Shape หดตัวนานฟื้นตัวช้า และกรณีแย่สุดอาจเป็น L-Shape คือ หดตัวยาวนานขึ้นไปอีก
ทำให้แผนปี 2568 แสนสิริเปิดตัวโครงการใหม่ 29 โครงการ ลดลง 32% (YoY) มูลค่า 52,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% (YoY) แบ่งเป็น
- คอนโด 15 โครงการ มูลค่า 20,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% เน้นทำเลหายาก เช่น คอนโดย่านนางลิ้นจี่, Via สุขุมวิท 34, PTY คอนโดติดหาดพัทยา
- บ้าน 14 โครงการ มูลค่า 31,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% เน้นบ้านลักซูรี อาทิ โครงการ นาราสิริ บุราสิริ เป็นต้น
ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ เน้นกลุ่มระดับราคากลาง-บน และลดสัดส่วนกลุ่ม Affortdable ลง ดังนี้
- บ้านระดับบน (Premium) สัดส่วน 57% (จากเดิม 35%)
- บ้านระดับกลาง (Medium) สัดส่วน 25% (จากเดิม 43%)
- บ้านระดับราคาเข้าถึงง่าย (Affortdable) สัดส่วน 18% (จากเดิม 22%)
“ยอดรีเจกต์เรตของแสนสิริมีประมาณ 11% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Affortdable ที่กำลังซื้อชะลอตัวลง และถ้าวันใดกลุ่มนี้ฟื้นตัว อาจกลับมาลุยตลาดอีกครั้ง“
อีกกลยุทธ์ที่แสนสิริโฟกัส คือ การขยายการลงทุนผ่านพาร์ตเนอร์ เพื่อบาลานซ์ความเสี่ยงด้านการเงินในแง่ลดการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
- ปี 2567 มีโครงการร่วมทุน (JV) ประมาณ 6 โครงการ มูลค่า 8,600 ล้านบาท กับ 2 พาร์ตเนอร์ คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น และ เอ็กซ์สปริง แอสเสท เมเนจเมนต์
- ปี 2568 จะขยาย JV เป็น 7 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท ร่วมกับ 3 พาร์ตเนอร์ คือ โตคิว คอร์ปอเรชั่น, เอ็กซ์สปริง แอสเสท เมเนจเมนต์ และรายล่าสุด มิตซุย ฟูโดซัง
ส่วนสัดส่วนการร่วมทุนของแต่ละเจ้าไม่เท่ากัน อาทิ
- โตคิวฯ ถือหุ้น 30-35% และแสนสิริ 65-70%
- เอ็กซ์สปริง แอสเสทฯ ถือหุ้น 30-40% และแสนสิริ 60-70%
- มิตซุย ฟูโดซัง ถือหุ้น 45% และแสนสิริ 55%
“ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 53,000 ล้านบาท เติบโต 6% (YoY) และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ 46,000 ล้านบาท เติบโต 5% (YoY)”