เศรษฐกิจดิจิทัล อาจเป็นทางรอดของไทย ในยุคเด็กเกิดน้อย

AI

รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ปี 2567 เป็นครั้งแรกในรอบ 75 ปี ที่อัตราการเกิดเด็กไทย ต่ำกว่า 5 แสนคน เหลือเพียง 462,240 คน และเป็น 4 ปีติดต่อกันที่อัตราการตายมากกว่าอัตราการเกิด สวนทางกับการเข้าสู่สังคมสูงวัยของไทย

ปัจจัยเหล่านี้ อาจส่งผลกระทบเป็นวิกฤติขาดแคลนแรงงานในอนาคต และสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

แม้ปัจจุบันไทยจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน แต่การเติบโตของ GDP ที่ต่ำกว่า 3% ต่อปี ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ เติบโตระดับ 5% ต่อปี

ทำให้อนาคตไทยอาจตกไปเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อันดับ 3 ของอาเซียนแทน และถ้าอัตราเติบโตยังเท่าเดิมประเมินว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า ไทยอาจจะตกไปอยู่อันดับ 5-6 ของอาเซียนก็เป็นได้

ดังนั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ไทยต้องเร่งพัฒนาศักยภาพการเติบโต ซึ่งหนึ่งในหนทาง คือ การดันไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพราะว่า

  • เศรษฐกิจดิจิทัลโลก ปี 2568 มีมูลค่า 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 21% ของ GDP โลก
  • เศรษฐกิจดิจิทัลโลกมีการขยายตัว 3 เท่า ของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโลก

หากทำได้ไทยจะกลับมาโดดเด่นและกลับมาอยู่บนกระแสโลก

อย่างไรก็ดี การขับเคลื่อนไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ถือเป็นงานหินพอสมควร เพราะ ประชากรไทยมีจำนวนราว 65 ล้านคน แต่มีคนที่เข้าใจดิจิทัล AI และ ICT เพียง 10% ส่วนคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มีแค่ 1% ของประชากร

ต่างจากประเทศในอาเซียนอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย แม้มีประชากรเพียง 40 กว่าล้านคน แต่คนเข้าใจดิจิทัล AI และ ICT ถึง 50% และมีคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ถึง 10% ของประชากร

นี่ก็ถือเป็นอีกจุดอ่อนที่ไทยต้องเร่งพัฒนาบุคลากรรองรับด้านดิจิทัล และการสร้างทรัพยากรมนุษย์จำนวนมากให้เชี่ยวชาญด้านนี้ ไทยอาจต้องใช้เวลาถึง 10-20 ปีทีเดียว

ขณะที่ ผลสำรวจเรื่องพลวัตเศรษฐกิจดิจิทัลในทัศนะของ SMEs ไทย ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า

1.แนวโน้มเทคโนโลยีและนวัตกรรม

  • ผู้ประกอบการคิดว่า เทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากสุด คือ เทคโนโลยีทางการเงิน (32.5%), เทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ (28.4%), เทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (24.4%) และเทคโนโลยี AI (14.8%)
  • ผู้ประกอบการมากกว่า 70% ยังไม่มีแผนลงทุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในปีนี้ แต่บางส่วนมีแนวโน้มลงทุนในอนาคต
  • ปัจจัยหลักที่ไม่ลงทุน คือ ยังไม่สนเทคโนโลยีใหม่ ๆ และขาดเงินทุนและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้

2.แนวโน้มเทคโนโลยีดิจิทัล

  • ผู้ประกอบการมากกว่า 90% ยังไม่มีแผนลงทุนด้านดิจิทัลในปี 2568
  • ผู้ประกอบการที่ลงทุนไปแล้ว 70% คาดหวังด้านเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเป็นหลัก

โดยสรุป SME ส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมลงทุนรองรับเทคโนโลยีหรือดิจิทัล สอดคล้องกับการสำรวจความคิดเห็น SME ด้านแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาค ที่ผู้ประกอบการกว่า 50% คิดว่าภาพรวมเศรษฐกิจปี 68 จะแย่ลง

ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนปีนี้ของ SME ยังมองปัจจัยระยะสั้น เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และเสถียรภาพทางการเมือง มากกว่าโฟกัสการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีในระยะยาว