Trump Tariffs การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลกครั้งใหญ่ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ไม่เพียงสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดการเงินและอุตสาหกรรมส่งออก แต่ยังสร้างความกังวลถึงสงครามการค้าที่จะทวีความรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วโลก รวมถึงมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ
การประกาศเก็บภาษีศุลกากรของทรัมป์เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีการกำหนดอัตราพื้นฐาน 10% จากภาษีเดิมสำหรับทุกประเทศคู่ค้า และในหลายประเทศสูงถึง 20-60% อย่างจีน โดนเก็บไป 54%, สหภาพยุโรป 20%, ญี่ปุ่น 24%, เกาหลีใต้ 25%, ไต้หวัน 32% และไทย 37%
แล้วการขึ้นภาษีครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์เงินเดือนอย่างไร
ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น
การเรียกเก็บภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น สุดท้ายแล้วภาระภาษีจะถูกผลักมายังผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าที่เราจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันมีราคาสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนักวิเคราะห์จาก Rosenblatt Securities คาดการณ์ว่า หาก Apple ผลักภาระภาษีนี้มาให้ผู้บริโภค ราคา iPhone รุ่นไฮเอนด์อาจพุ่งสูงถึง 2,300 ดอลลาร์ หรือราว 78,000 บาท
ขณะที่สินค้าอื่นก็มีการขยับราคาแพงขึ้นหลายรายการเช่นกัน เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากประเทศผู้ผลิตหลักอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสหภาพยุโรปถูกเก็บภาษีเพื่ม 20-25%, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะจีนที่เป็นฐานผลิตหลักถูกเรียกเก็บภาษีไปถึง 54%, อาหารนำเข้า เนื่องจากหลายประเทศในเอเชียโดนภาษีไป 30-50% เป็นต้น
ภาพนี้ไม่เกินจริง เพราะจากการสำรวจพบว่า มีหลายธุรกิจจากหลายอุตสาหกรรมมีแผนการจะผลักภาระภาษีให้กับผู้บริโภค แน่นอนจะส่งผลให้เงินเดือนของชาวออฟฟิศที่ก่อนหน้านี้(อาจ)เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน อาจไจะม่เพียงพออีกต่อไป
ความมั่นคงของหน้าที่การงานลดลง
เมื่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น สิ่งที่บริษัทต่างๆ ต้องวางแผน คือ ทำอย่างไรให้ผลประกอบการยังออกมาเป็นบวก โดยจากการสำรวจของ Duke University และธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขา Richmond และ Atlanta พบว่า
ในปี 2025 ประธานเจ้าหน้าที่การเงินในสหรัฐฯ ราว 25% มีแผนจะลดการจ้างงานลง เนื่องจากมีความกังวลต่อนโยบายภาษีนำเข้า และอีก 25% จะลดการลงทุน นั่นหมายความว่า บริษัทอาจจะต้องชะลอการจ้างงาน รวมถึงปรับลดโบนัสและสวัสดิการต่าง ๆ ไปจนถึงเกิดการเลิกจ้างงานในบางอุตสาหกรรม
กระทบต่อเงินออมและการลงทุน
หลังจากทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ ตลาดการเงินทั่วโลกต่างร่วงลงอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น ดัชนีดาวโจนส์ลดลงเกือบ 4% ดัชนี S&P 500 ลดลงเกือบ 5% และดัชนี Nasdaq ลดลง 6% ขณะที่ตลาดหุ้นไทย ก็ดิ่งหนักไม่แพ้กัน
จากความผันผวนในตลาดการเงินนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินออมและการลงทุนของมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะเป็น มูลค่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นอาจลดลง, ผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้, ค่าเงินอ่อนค่าลงที่อาจส่งผลให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการวางแผนการเงินส่วนบุคคล
ดังนั้น มนุษย์เงินเดือนต้องวางแผนรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจาก Trump Tariffs เริ่มตั้งแต่การ นโยบายภาษีศุลกากรได้หลายวิธี เช่น วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น สร้างเงินสำรองฉุกเฉินให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน และอย่าก่อหนี้ใหม่แบบไม่จำเป็น
สำหรับใครที่มีพอร์ตการลงทุน อาจจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยไม่พึ่งพาแหล่งใดแหล่งหนึ่งมากเกินไป และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีในช่วงเงินเฟ้อ ฯลฯ รวมถึงพยายามสร้างแหล่งรายได้เสริมอย่างน้อย 3-4 แหล่ง เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้เพียงแหล่งเดียว ฯลฯ
ที่มา
https://edition.cnn.com/2025/03/26/economy/trump-tariffs-trade-war-jobs-economy/index.html
https://www.bbc.com/news/articles/c0qnd2x1nn3o