นอกจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ไม่เอื้ออำนวยแล้ว ช่วงครึ่งหลังปี 2568 ‘ธุรกิจค้าปลีก’ ยังต้องเผชิญความท้าทายที่เกิดจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างรุนแรงเท่านั้น ยังจะทำส่งผลให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยมากขึ้น
‘ณัฐ วงศ์พานิช’ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยต้องพบกับความท้าทายหลายด้านในปี 2568 ทั้งวิกฤติการค้าโลก การขึ้นภาษีศุลากรของสหรัฐฯ เหตุการณ์แผ่นดินไหว และภาวะหนี้ครัวเรือน ทำให้คาดการณ์ GDP ปีนี้ลดลงเหลือ 1-1.4% จากเดิมคาดการณ์จะเติบโตอยู่ในกรอบ 2.7-3%
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกไทย เบื้องต้นประเมินว่า ยอดขายภาคค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง โดยในช่วงปี 2567-2568 โตเฉลี่ย 3.4% คิดเป็นมูลค่า 1.36 แสนล้านบาท ขณะที่ช่วงปี 2565-2566 มีการเติบโต 5.9%
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs ที่มีมากกว่า 3.3 ล้านราย ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากการแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะสินค้านำเข้าราคาถูกและด้อยคุณภาพจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนที่เข้ามาผ่านทางอีคอมเมิร์ซและผู้ประกอบการรายย่อยข้ามแดน
“จีนเป็นประเทศที่ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ามากสุด จึงต้องหาตลาดทดแทน บวกกับปัญหาการผลิตสินค้าเกินความต้องการภายในประเทศจีน ทำให้จีนจำเป็นต้องระบายสินค้าสู่ต่างประเทศ ซึ่งประเทศเป้าหมายก็คือประเทศใกล้เคียงกับจีน รวมถึงไทยที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยจนถึงขั้นต้องปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างแรงงาน”
สำหรับสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาไทยจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, Accessory และอาหาร เป็นต้น โดยสินค้าจีนได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยไม่ควรแข่งที่ราคา แต่ต้องสู้ที่ความแตกต่างและคุณภาพ
ขณะที่ภาครัฐ ควรมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว เช่น การจัดเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรกของสินค้าออนไลน์นำเข้าเป็นการถาวร (จากเดิมสินค้าไม่เกิน 1,500 บาทจะได้รับการยกเว้นภาษี), ออกมาตรการควบคุมสินค้าด้อยมาตรฐานจากแพลตฟอร์มออนไลน์ และการตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่มตรวจ
รวมถึงปราบปรามธุรกิจนอมินี จำเป็นต้องเร่งหามาตรการเชิงรุกในการจัดการธุรกิจนอมินี (Nominee) ที่สวมสิทธิ์คนไทยในทุกระดับ ตั้งแต่รายย่อยถึงรายใหญ่ ครอบคลุมธุรกิจในหลายรูปแบบ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อยับยั้งการรั่วไหลของเม็ดเงิน และผลักดันให้รายได้จากภาคค้าปลีกหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการไทย
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย ควรส่งเสริมให้ไทยเป็น Shopping Paradise ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ผ่าน 2 มาตรการสำคัญ ได้แก่
-นโยบาย Instant Tax Refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันที ณ ร้านค้า ให้กับนักท่องเที่ยวที่มี ยอดซื้อสินค้าขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไปต่อ 1 วันในร้านค้าเดียวกัน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับประเทศจีนที่ได้ประกาศใช้นโยบาย Instant Tax Refund 500 หยวน (ประมาณ 2,500 บาท) นำร่องที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจว
-แซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ (Free Tax Zone) ในจังหวัดภูเก็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันท่ามกลางสงครามการค้าโลก





