แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ ระงับการขึ้นภาษีครั้งใหญ่ ในหลาย ๆ ประเทศไปเป็นเวลา 90 วัน ยกเว้นเพียงประเทศเดียวก็คือ จีน แต่ล่าสุด สหรัฐฯ ได้ขึ้นภาษีสำหรับ อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับ 4 ประเทศอาเซียน แต่ไม่ใช่จู่ ๆ จะขึ้นก็ขึ้น แต่ขึ้นเพราะพบว่ามี ทุนจีน อยู่เบื้องหลัง
ย้อนไปเมื่อ 12 ปีก่อน ที่สหรัฐฯ ได้มีการกำหนดภาษีการนำเข้าพลังงานแสงอาทิตย์จากจีน ทำให้ทุนจีนได้หันมาใช้ประเทศในอาเซียน เป็นฐานการส่งออกไปยังสหรัฐฯ จนเมื่อปีที่แล้ว ทางกลุ่ม American Alliance for Solar Manufacturing Trade Committee ก็ได้ออกมาฟ้องร้อง ผู้ผลิตแผงโซลาร์รายใหญ่ของจีนที่มีโรงงานในมาเลเซีย กัมพูชา ไทย และเวียดนาม ว่าได้ ส่งออกแผงโซลาร์ในราคาต่ำกว่าต้นทุนการผลิต และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลจีน ทำให้สินค้าอเมริกันไม่สามารถแข่งขันได้
หลังจากที่ได้ข้องสรุปคดี ส่งผลให้เจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ได้กำหนดอัตราภาษีสูงสำหรับการนำเข้า อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ จาก 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และ ไทย
โดยภาษีที่ขึ้นจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริษัทและประเทศ โดย มาเลเซีย โดนน้อยสุดที่ 34.4% ส่วนอัตราภาษีทั่วประเทศของ ไทย ถูกตั้งไว้ที่ 375.2% ด้าน เวียดนาม ถูกตั้งไว้ที่ 395.9% สุดท้าย กัมพูชา หนักสุดที่ 3,521% เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตไม่ให้ความร่วมมือกับการสอบสวนของสหรัฐฯ
“นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีมาก เรามั่นใจว่ามาตรการนี้จะจัดการกับการค้าที่ไม่เป็นธรรมของบริษัทจีนในทั้ง 4 ประเทศนี้ ซึ่งได้สร้างความเสียหายให้กับอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ มานานเกินไปแล้ว” ทิม ไบรท์บิลล์ ทนายความของกลุ่มผู้ผลิตในสหรัฐฯ กล่าว
จากข้อมูลของ บลูมเบิร์ก ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการนำเข้าอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์จาก 4 ประเทศที่ต้องเสียภาษีใหม่ของสหรัฐฯ มีมูลค่าอยู่ที่ 12,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 428,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 77% ของการนำเข้าโมดูลทั้งหมด
ดังนั้น กลุ่มการค้า Solar Energy Industries Association (SEIA) คาดว่า ภาษีใหม่นี้อาจจะสร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ เพราะจะทำให้ราคาเซลล์นำเข้าที่นำมาประกอบเป็นแผงโดยโรงงานในอเมริกาสูงขึ้น ซึ่งโรงงานเหล่านี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นตั้งแต่การให้เงินอุดหนุนสำหรับการผลิตพลังงานสะอาดในปี 2022



