‘เอไอเอส’ คิกออฟ ‘ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์’ กับเป้าหมายพาไทยสู่ ‘Zero Scam’

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น มิจฉาชีพก็ใช้ช่องทางเหล่านี้ในการหลอกลวงอย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ การส่ง SMS ปลอม การสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันหลอก ซึ่งปัญหาเหล่านี้กำลังทวีความรุนแรงในไทย และเป็นภัยที่ เอไอเอส (AIS) พยายามส่งเสียงให้คนไทยทุกคนได้ตระหนักและรับมืออย่างจริงจัง สู่การคิกออฟ “ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์”

8 หมื่นล้าน ความเสียหายที่เกิดจากภัยไซเบอร์

นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 พบว่าประเทศไทยมีการแจ้งความออนไลน์สะสมตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 – 31 มีนาคม 2568 ถึง 858,508 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 8 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหาย 78 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจากตัวเลขที่น่ากังวลนี้ นำไปสู่การเดินหน้าปราบปรามเชิงรุกของรัฐบาล ผ่าน 3 แกนหลัก ได้แก่ 

  • การกำหนดและพัฒนากฎหมาย เช่น มาตรการ ปิดปากม้า โดยธนาคารแห่งประเทศไทย, การออกมาตรการห้ามส่งข้อความ SMS ที่มีลิงก์ และการ ตัดไฟ ตัดเน็ต ใน 5 จุดสำคัญ เป็นต้น
  • การสร้างความร่วมมือ และประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ AOC 1441
  • การยกระดับความมั่นคงระดับประเทศ เพื่อเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดย

“จากรายงาน Global Risk Report 2025 ชี้ว่า เรื่องข่าวปลอมถือเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่ง ส่วนการโจรกรรมและสงครามไซเบอร์เป็นความเสี่ยงอันดับที่ 5 และทั้ง 2 เรื่อง เป็นความเสี่ยงที่เราต้องเจอไปอีก 10 ปี ดังนั้น เราแก้ปัญหาแค่คนเดียวไม่ได้ ต้องร่วมมือกัน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าว

Educate/Collaborate/Motivate โมเดล 3 ประสาน 

เอไอเอส (AIS) ในฐานะผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของประเทศ และถือเป็น ด่านหน้า ในการรับมือกับภัยคุกคามทางดิจิทัล และไม่ได้มองการป้องกันภัยไซเบอร์เป็นเพียงหน้าที่เสริม แต่ถือเป็น พันธกิจหลัก ในการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน ภายใต้โมเดล 3 ประสาน ได้แก่

  • เรียนรู้ (Educate) สร้างความเข้าใจและทักษะในการป้องกันภัยไซเบอร์ให้กับเครือข่ายทั้ง Ecosystem โดยที่ผ่านมา เอไอเอสได้ทำหลักสูตร อุ่นใจไซเบอร์ ตั้งแต่ปี 2012 การจัดทำ  Thailand Cyber Wellness Index และ Digital Health Check เพื่อวัดสุขภาวะดิจิทัลของคนไทย เป็นต้น
  • ร่วมแรง (Collaborate) ผนึกกำลังกับพาร์ทเนอร์ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมสื่อสารและสร้างแรงขับเคลื่อนสังคม เช่น ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลฯ, ธนาคารพาณิชย์ และเอกชนอื่น ๆ เพื่อสร้างระบบแจ้งเตือนภัยไซเบอร์ ตรวจสอบเบอร์ต้องสงสัย และหยุดการแพร่กระจายของลิงก์ปลอมผ่าน SMS หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ
  • เร่งมือ (Motivate) รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกฎระเบียบ หรือกติกา แก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“เราเน้นที่การป้องกันมากกว่าแก้ไข โดยเราได้อบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์แล้วกว่า 5 แสนคน มีการร่วมกับตำรวจ และกสทช. ในการให้ข้อมูล และคุมสัญญาณไม่ให้รั่วไหลไปตามตะเข็บชายแดน รวมถึงจำกัดการจำหน่ายซิมเพื่อป้องกันการรั่วไหล นอกจากนี้ เรามีสายด่วน 1185 ให้ลูกค้าโทรมารายงานเบอร์มิจฉาชีพ” สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าว

คิกออฟปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สู่เป้าหมาย Zero Scam

สมชัย ย้ำว่า การที่ประเทศไทยจะเข้าใกล้เป้าหมาย  Zeo Scam ที่ทำอยู่ไม่เพียงพอ แต่จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน โดยเอไอเอสต้องการประกาศให้จากนี้เป็น ปีแห่งความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยมีเป้าหมายเชิญชวนหน่วยงานกว่า 100 องค์กร เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกันในการป้องกัน และลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อร่วมสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืน 

โดยไม่ใช่แค่ภาครัฐหรือเอกชน แต่รวมถึงภาคประชาชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตาได้ เช่น การรายงานเบอร์มิจฉาชีพ หรือเห็นความผิดปกติอย่างหอพักที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ แต่มีการใช้ไฟฟ้า หรือพบเห็นการขายอุปกรณ์อัตราย เป็นต้น 

“เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ แต่ภัยมันก็มีตามมา เราก็พยายามสอนให้คนเข้าใจ โดยมีเป้าหมายอบรมประชาชนคนไทยให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ให้ได้ 3 ล้านคน รวมถึงพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสกัดกั้น แต่เราต้องไม่ย่อท้อ ต้องช่วยกัน เพราะเอไอเอสทำคนเดียวไม่ได้ แม้เป้าหมาย Zero Scam จะดูยาก แต่เราก็อยากไปถึงตรงนั้น” สมชัย ทิ้งท้าย