จากกระแสความยั่งยืน และไม่ต้องการทิ้งมลพิษไว้ให้กับสิ่งแวดล้อมแม้จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้เราได้เห็นการคิดค้น ‘โลงศพรักษ์โลก’ ขึ้นมามากขึ้น โดยเฉพาะในต่างประเทศ ส่วนในไทยก็มีผู้บุกเบิกแล้ว นั่นคือ Mycelium Coffin โลงศพสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ทำจากเห็ด ที่ ‘ดร.จิราวรรณ คำซาว’ พัฒนาขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘ผู้ชุบชีวิตจากความตาย’
ที่มาของไอเดีย ดร.จิราวรรณ เล่าว่า ด้วยตัวเธอจบปริญญาเอกด้านจุลชีววิทยา (Microbiology) จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความชอบงานทางด้านเชื้อรา (Mycology) และทำงานด้านอนุรักษ์ป่า ทำให้สนใจในเรื่องระบบนิเวศ และเห็นว่า ‘เห็ด’ เป็นผู้ย่อยสลายที่ดี
นอกจากนี้ สังเกตเห็นเมื่อเวลาสัตว์เลี้ยงตาย คนมักนิยมนำไปฝังเพราะเชื่อว่า จะเป็นการเพิ่มปุ๋ยธรรมชาติให้ดิน แต่ความจริงแล้วกลับเป็นการทำให้ดินเป็นพิษ มีไนโตรเจนมากเกิน ส่งผลให้พืชหรือต้นไม้บริเวณรอบพื้นที่ที่นำสัตว์เลี้ยงไปฝังตายได้ ขณะที่ถ้านำไปเผา ก็ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศมากมาย
เธอจึงต้องการนำเห็ดที่ทำหน้าที่ย่อยสลายได้ดีมาต่อยอดช่วยแก้ Pain point ดังกล่าว โดยทำวิจัยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาจนจะได้ Mycelium Coffin หรือโลงศพจากเส้นใยของเห็ดราสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ย่อยสลายได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกมา
“โลงศพรักษ์โลกที่คิดค้นและพัฒนาจะสร้างขึ้นจากไมซีเลียม (Mycelium) ซึ่งเป็นเส้นใยจากเห็ดรา นำมาผสมกับซังข้าวโพด วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร แล้วนำไปขึ้นแม่พิมพ์ให้ออกมาเป็นรูปร่าง โดยโลงศพนี้จะสามารถย่อยสลายได้ภายในเวลาเพียงแค่ 45 วัน”
คอนเซ็ปต์ของ Mycelium Coffin ก็คือ ‘ผู้ชุบชีวิตจากความตาย’ โดยจะทำหน้าที่หมุนเวียนธาตุให้เกิดใหม่ ด้วยการส่งต่อธาตุให้พืชพรรณต่าง ๆ ได้ดูดซับเพื่อใช้งอกงามและเจริญเติบโตต่อไป
ดร.จิราวรรณ อธิบายว่า ก่อนจะย่อยซากไมซีเลียมจะมีความชื้นเข้ามาช่วยเลี้ยงให้เติบโต จากนั้นจะค่อย ๆ ย่อยสลายซาก พร้อมกับดูดซับและหมุนเวียนธาตุอาหารที่เกิดขึ้น ส่งต่อไปยังพืชพรรณต่าง ๆ รอบพื้นที่
ปัจจุบัน Mycelium Coffin ยังเป็นแบบ Made to order มีสนนราคาอยู่ที่ 6,500 บาท แชะหากเป็นที่เก็บกระดูก ราคาจะอยู่ที่ 4,000 บาท ซึ่งถือว่า ‘ราคาแรง’ ใช้ได้เลยทีเดียวเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายกับวิธีฝังหรือเผา
ดร.จิราวรรณอธิบายว่า ที่มีราคาสูง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขึ้นแม่พิมพ์มีราคาแพง แต่เมื่อเทียบกับการรักษ์โลก ไม่ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และก๊าซเรือนกระจกที่กระทบต่อโลกเป็นอย่างมากและส่งผลยาวนาน ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับบรรดาทาสทั้งหลาย
โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงมองเป็นโอกาสที่สามารถทำเป็นธุรกิจได้