ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า จากตอนแรกที่เริ่มเข้าทำงานในดุสิตธานี พบว่า รายได้ 90% ของบริษัทฯ ยึดโยงกับธุรกิจโรงแรมอย่างเดียว ขณะที่อีก 10% มาจากภาคการศึกษา ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก จึงวางกลยุทธ์ 9 ปี (พ.ศ. 2559 – 2568) แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561)
โฟกัสสร้างคน กระบวนการทำงาน และเทคโนโลยี รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว
สินทรัพย์ของดุสิตธานีช่วงนี้ ประกอบด้วย โรงแรมรวม 27 แห่ง เป็นเจ้าของเอง 10 แห่ง และรับบริหารงานอีก 17 แห่ง ซึ่งหลายโรงแรมในพอร์ตฯ เริ่มมีอายุ และไม่ตอบโจทย์เซกเมนต์คนรุ่นใหม่ จึงวางแผนเตรียมรีโนเวต
ขณะเดียวกัน ยังได้ขยายการรับบริหารโรงแรมมากขึ้น เนื่องจาก ช่วงนั้นพอร์ตฯ รายได้ 90% ของดุสิตธานี มาจากการเป็นเจ้าของโรงแรมเอง ส่วนโรงแรมที่รับบริหารมีสัดส่วนรายได้เพียง 5-7% หากต้องการรายได้ส่วนรับบริหารให้เท่ากับรายได้จากการเป็นเจ้าของโรงแรม ต้องหาโรงแรมมาบริหารเพิ่มอีก 20 โรงแรม

ช่วงที่ 2 ช่วงขยายการเติบโต Take Off (2562-2565)
เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้ง การขยายธุรกิจโรงแรม ผ่านการรับบริหาร เน้นใช้โมเดล Asset-Light (ไม่ลงทุนเอง เพราะใช้งบลงทุนสูง) ตลอดจน การขยายธุรกิจใหม่ อาทิ ธุรกิจอาหาร จัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ตลอดจนทำเมกะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ดุสิตเซ็นทรัลพาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท
“ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่”

ช่วงที่ 3 ช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต Unlock Value (2566-2568)
เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ
ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง (โรงแรม 55 แห่ง, วิลล่าหรู 239 แห่ง) จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ โดยในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567

รวมถึงการเตรียมนำธุรกิจฟู้ด ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งที่ผ่านมาดุสิตฟู้ดส์ ได้ขยายการลงทุนต่อเนื่อง อาทิ
- บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย
- บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม
- บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาด้านผลประกอบการของดุสิตธานี พบว่า ในปี 2567 ได้ทุบสถิติผลประกอบการสูงสุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา โดยมีรายได้รวม 11,345 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท
แต่ด้วยมีภาระดอกเบี้ยจากเงินกู้ 578 ล้านบาท (บริษัทไม่เคยเพิ่มทุนแม้ช่วงโควิดที่แทบไม่มีรายได้ 3 ปี จึงใช้วิธีกู้แทน) ส่งผลให้ขาดทุนสุทธิ 237 ล้านบาท
“ปี 2568 ประเมินว่า จะเทิร์นอะราวด์กลับมามีกำไรสุทธิในรอบ 5 ปี จากอัตราการเติบโตของรายได้รวมจากธุรกิจหลักจะเติบโตประมาณ 20-25% แบ่งเป็น การเติบโตของธุรกิจโรงแรม 20-25% ธุรกิจอาหาร 10-15% ธุรกิจการศึกษา 10-12% และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 100%“
ทั้งนี้ ดุสิตธานี จะเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในโครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ปัจจุบัน มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยเริ่มรับรู้รายได้ภายในปลายปี 2568 และรับรู้รายได้อย่างมีนัยยะสำคัญปี 2569
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯ มีภาระหนี้จากเงินกู้ยืมและหุ้นกู้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นภาระดอกเบี้ย 5.5% ต่อปี (เป็นดอกเบี้ยปีละ 200 กว่าล้านบาท) คาดว่าจะดีขึ้นจากรายได้ส่วนที่อยู่อาศัยที่เข้ามา และผลประกอบการที่ดีขึ้น