LA GLACE แบรนด์เครื่องสำอางขวัญใจชาว Gen Z ที่บริหารโดยคน Gen Z ปีนี้ทำตลาดครบ 8 ปีแล้ว กำลังมีรายได้ทะลุพันล้านบาท ก่อนจะปังเคยขาดทุน 20 ล้าน เพราะอีโก้สูงจนใครก็เอาไม่ลง เตรียมแต่งตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 71
เริ่มทำธุรกิจตอนเรียนปี 3
ยุคปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันมาทำธุรกิจ ทำแบรนด์ของตัวเองกันมากขึ้น ด้วยจากตลาดที่เปิดกว้าง อีกทั้งผู้บริโภคเปิดใจลองอะไรใหม่ๆ ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเหล่าดารา อินฟลูเอนเซอร์ที่มักจะสร้างแบรนด์ควบคู่กับงานในวงการบันเทิง
ซึ่งธุรกิจความงามเป็นธุรกิจหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจึงได้เห็นแบรนด์สกินแคร์ เครื่องสำอางสัญชาติไทยเกิดใหม่ขึ้นตลอด รับกระแส T-Beauty ที่เติบโตมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี ในแบรนด์ใหม่ๆ นั้นล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่หันมาจับตลาดทั้งสิ้น
LA GLACE (ลากลาส) เป็นอีกแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์ และราคาย่อมเยา ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริหารโดยคน Gen Z ก่อตั้งโดยคู่รัก “ไอติม – เอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์” และ “เฟรนฟราย – ทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์” เริ่มทำธุรกิจกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปี 3 ที่ ม.กรุงเทพ หรือตอนอายุ 20 ปี ไอติมเรียนทางด้านนิเทศศาสตร์ ส่วนเฟรนฟรายเรียนทางด้านบริหาร-การตลาด ปัจจุบันทำตลาดมา 8 ปีแล้ว เริ่มต้นด้วยงบลงทุนก้อนแรก 70,000 บาท ทำเบสโทนอัพออกมาจำหน่ายเป็นตัวแรก
ไอติม เริ่มเล่าสตอรี่ถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์ว่า ทั้งคู่คบหากันตั้งเรียนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย พื้นฐานเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง เงินที่พ่อแม่ให้มาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับค่าหอ ค่าชีทเรียน เลยมีความคิดอยากหารายได้เพิ่ม ประกอบกับตอนนั้นเริ่มเป็นอินฟลูเอนเซอร์ มีคนติดตามแล้วสอบถามเรื่องสินค้าที่ใช้ ใช้อะไรหน้าเนียนหน้าใส จึงเลือกทำธุรกิจบิวตี้ ด้วยเงินลงทุนก้อนแรก 70,000 บาท ทำเบสโทนอัพหน้าเนียนออกจำหน่ายตัวแรก เพราะเป็นสินค้าที่ใช้เองตั้งแต่ ม.1
ตอนทำตลาดช่วงแรกก็ติดตลาด มีคนใช้แล้วบอกต่อ แต่มีบ้างที่เจอกระแสดราม่าขายแพง ด้วยราคาขาย 690 บาท ซึ่งถ้าย้อนกลับไปยุคนั้นถือว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มมากๆ หลังจากนั้นก็เริ่มออกสินค้าตัวอื่นอย่างสบู่ล้างหน้า คลีนซิ่ง และโทนเนอร์ แต่ปัจจุบันไม่ได้จำหน่ายแล้ว
แรกเริ่มได้ขายผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก โดยไอติมเป็นพรีเซ็นเตอร์แนะนำ และรีวิวสินค้าเอง พร้อมทำคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย หลังจากนั้นก็ได้ขยายตลาดออนไลน์ไปในทุกช่องทาง โดยปัจจุบันเฉพาะบัญชี OFFICIAL ของ LA GLACE มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางออนไลน์ 1.5 ล้านยูสเซอร์ และมีฐาน Affiliate (นายหน้าขายสินค้าในออนไลน์) อีกกว่า 140,000 คน และขยายไปช่องทางออฟไลน์ บิวตี้สโตร์ต่างๆ
ขาดทุน 20 ล้านเพราะอีโก้
บทเรียนที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจมาของทั้งคู่คือ ตอนขาดทุนครั้งใหญ่ถึง 20 ล้านบาท เมื่อปี 2563 เพราะความประมาท อีโก้ของตัวเองที่สูงมาก อัดเงินทุกอย่าง แต่โดนโกง สุดท้ายก็ผ่านมาได้
“ตอนขาดทุนครั้งใหญ่ 20 ล้านบาท ตอนนั้นอีโก้สูงมาก คิดว่าทำอะไรสำเร็จหมด คิดว่าเก่งทุกอย่าง เลยอัดเงินที่มีลงทุนทำลิปสติก แต่โดนโรงงานโกงสินค้าโดนยัดไส้บ้าง แพ็กเกจจิ้งแตกบ้าง ทำให้เอาสินค้าไปขายไม่ได้”
หลังจากบทเรียนครั้งใหญ่ ก็มีดราม่ามาเป็นระลอก เพราะแบรนด์ LA GLACE ใช้กลยุทธ์ Personal Branding ที่ยึดติดกับตัวไอติม ทำให้หลังจากนั้นได้มีการชำแหละจุดอ่อน แล้วแก้ไปทีละเรื่อง รวมไปถึงขายของส่วนตัวบางอย่างเพิ่มนำเงินมาลงทุนต่อ
บลัชดำ-โทนเนอร์แพด ทำยอดขายติดสปีด
LA GLACE วางจุดยืนเป็นแบรนด์ Underground Beauty หรือสวยแบบไม่มีกรอบ ไม่กำหนดว่าต้องเป็นสาวหวาน สาวเท่ สาวแบ๊ว แค่มีความมั่นๆ เชิ่ดๆ ปัจจุบันมีสินค้ารวม 80 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องสำอาง และแผ่น มาส์กหน้า รายได้ส่วนใหญ่ยังมาจากเครื่องสำอาง ตั้งเป้าในสิ้นปีมี 100 รายการ
สินค้าที่สร้างชื่อให้ LA GLACE ตัวแรกก็คือ “บลัชดำ” หรือ BLACK MAGIC LIP & CHEEK PH BLUSH บลัชออนที่เปลี่ยนสีตามค่า PH ของผิว เปิดตัวเมื่อปี 2566 สร้างยอดขายไปมากกว่า 1.5 ล้านชิ้น สินค้าตัวนี้เป็นตัวพลิกเกมทำให้บริษัทมียอดขายแบบติดสปีด
เมื่อเดือนธันวาคม 2567 ได้เปิดตัว LA GLACE DAILY TONER PADS แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ที่ได้สร้างกระแสฟีเวอร์ทันทีที่เปิดตัว และเปิดขายวันแรกจากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท
ในประเทศไทยตลาดโทนเนอร์มีมูลค่าราวๆ 6,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีแต่แบรนด์เกาหลี แล้วมีราคาเฉลี่ยที่ 500-600 บาท บรรจุ 60 แผ่น ยังไม่มีแบรนด์ไทยลงมาจับตลาดจริงจัง จึงสร้างความแตกต่างด้วยราคาย่อมเยากว่าในราคา 390 บาท แล้วมีจำนวน 80 แผ่น ทำให้มียอดขายดีจนสินค้าขาดตลาด
ปัจจุบันสินค้าที่สร้างยอดขายเยอะที่สุดมี 3 ตัว ได้แก่ โทนเนอร์แพด, บลัชดำ และคอนซีลเลอร์ สร้างรายได้สัดส่วน 70% กลุ่มโทนเนอร์แพดมีต้นทุนที่สูงกว่าเครื่องสำอางอื่นๆ แต่มีเรทการซื้อซ้ำสูงกว่า เป็นสินค้าตัวแรกที่เข้าสูงตลาดสกินแคร์
รายได้เตรียมทะลุพันล้าน เข้าตลาดปี 71
LA GLACE ภายใต้บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัดมีผลประกอบการที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจากข้อมูลย้อนหลัง
- ปี 2561 รายได้ 6.64 แสนบาท กำไร 1.45 แสนบาท
- ปี 2562 รายได้ 6.39 ล้านบาท กำไร 5.12 แสนบาท
- ปี 2563 รายได้ 16.90 ล้านบาท กำไร 3.19 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 13.21 ล้านบาท กำไร 1.1 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 39.9 ล้านบาท กำไร 1.65 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 401.2 ล้านบาท กำไร 108.1 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดร่วม 1,000%
- ปี 2567 รายได้ 420 ล้านบาท กำไร 37.7 ล้านบาท
สำหรับในปี 2568 ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นแตะหลัก 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะสามารถทำยอดขายโทนเนอร์แพดได้ถึง 600-700 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขายบลัชดำ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400 ล้านบาท ทำให้คาดว่าจะทำยอดขายตามเป้าได้
เป้าหมายในระยะยาว อยากสร้างรายได้ 2,000 ล้านบาทภายในปี 2571 และ IPO เข้าตลาดหลักทรพย์เพื่อระดมทุนขยายตลาด มองตลาดต่างประเทศอย่างฮ่องกง เพื่อเปิดประตูสู่วัยรุ่นชาวจีน พร้อมกับต้องการบริหารต้นทุนให้ดีขึ้น สร้างภาพลักษณ์ รวมไปถึงมองหาโอกาสลงทุนกับแบรนด์ใหญ่ และซื้อกิจการแบรนด์อื่นๆ เข้าพอร์ตด้วย