ประเด็น ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงร้อนระอุต่อเนื่อง โดยวันที่ 23 มิ.ย. 68 แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้ประกาศสกัดอาชญากรรมไซเบอร์จากกัมพูชา ผ่านการตัดอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และระงับการค้าน้ำมัน
โดยประมาณการเบื้องต้นว่า ธุรกิจสีดำบริเวณชายแดน ขณะนี้ได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท
[แล้วที่ผ่านมา “เศรษฐกิจสีดำกัมพูชา” มีขนาดใหญ่แค่ไหน ?]
ตามการรายงานของ สหประชาชาติ (UNODC – United Nations Office on Drugs and Crime) ระบุว่า กัมพูชา เป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเฉพาะการหลอกลวงผ่านคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์หลอกให้รักแล้วดูดเงินจากผู้เสียหาย
โดยอุตสาหกรรมการหลอกลวงของกัมพูชา ทำเงินได้มากกว่า 12,500 – 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี หรือประมาณ 412,500 – 627,000 ล้านบาท/ปี คิดเป็น 40-60% ของ GDP กัมพูชา
ซึ่งมูลค่าอุตสาหกรรมหลอกลวงของกัมพูชา มีมูลค่าสูงกว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าที่ทำรายได้ 9,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมเป็นอุตฯ หลักของประเทศเสียอีก
“ความเสียหายจากอาชญากรรมไซเบอร์โดยกลุ่มอาชญากรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สร้างความเสียหายทั่วโลก 18,000 – 37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5.94 แสนล้านบาท – 1.12 ล้านล้านบาท) ในปี 2023“

[แพลตฟอร์มมืด ค้าสิ่งผิดกฎหมายใต้ดิน ซุกตัวกลางพนมเปญ]
ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มอย่าง Huione Guarantee (Haowang) ในพนมเปญ ถูกระบุว่า เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์ม dark web ที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี และทรัพยากรสำหรับอาชญากรไซเบอร์ อาทิ ซอฟต์แวร์ฟิชชิ่ง, ระบบส่งข้อความจำนวนมาก, ขายข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกขโมยมา
โดยแพลตฟอร์มนี้ มีผู้ใช้งานกว่า 970,000 ราย และมีการประมวลผลธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซีมูลค่านับหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2021 โดยคาดว่ามีเงินไหลเข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มนี้อย่างน้อย 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

[กำเนิดเมืองอาชญากรรมตามชายแดนกัมพูชา โยงทุนจีนเทา]
ความซับซ้อนของอุตสาหกรรมสีดำกัมพูชา ยังหยั่งรากลึก จนเกิดเป็นเมืองอาชญากรรม มีฐานปฏิบัติการหลายพื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่พื้นที่ชายแดน ที่มีการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะจากทุนจีน เช่น สีหนุวิลล์, ปอยเปต, บาเว็ต, พนมสารคาม และตะบองคมุม (2 เมืองหลังสุด พบการขยายตัวของอาคาร และสิ่งก่อสร้างอย่างรวดเร็ว เชื่อมโยงอาชญากรรมไซเบอร์
ทั้งนี้ สิ่งที่มักพบคล้ายกันของพื้นที่เมืองอาชญากรรม คือ การทำสิ่งปลูกสร้างในลักษณะ “เมืองย่อม ๆ” หรือ “คอมปาวด์“
กล่าวคือ เป็นกลุ่มอาคารหรือพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีรั้วรอบขอบชิด มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา และมักจะถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการหลักของแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์
ภายในจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ทั้งอาคารสำนักงานให้พนักงาน (ทั้งถูกบังคับ/เต็มใจทำ) นั่งหลอกคนอื่น, ที่พักอาศัยสำหรับพนักงานและบางครั้งใช้เป็นที่กักขังเหยื่อค้ามนุษย์อีกด้วย รวมถึงมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา บางครั้งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแบบติดอาวุธ

[เชื่อมโยงกลุ่มมีอำนาจในกัมพูชา]
นอกจากนี้ รายงานของ UNODC ชี้ให้เห็นว่า กำไรจากกิจกรรมผิดกฎหมายเหล่านี้ มีความเชื่อมโยงกับบุคคลที่ใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมืองของกัมพูชา
แม้จะมีความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายจากรัฐบาลกัมพูชา แต่ในทางปฏิบัติการยังไม่สอดคล้องมากนัก และเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ยังไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
คงต้องจับตากันต่อไปว่า เมื่อปัจจุบันประเทศไทยได้หันมาร่วมปฏิบัติการเชิงลึก จะช่วยลดอาชญากรรมไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อคนไทยน้อยลงหรือไม่อย่างไร…