ยิ่งกว่าสิงโตติดปีก! เมื่อ ‘AIS’ ได้ ‘พรีเมียร์ลีก’ เป็นหมัดน็อก พร้อมเดินหน้าดึงลูกค้าย้ายค่าย!

หากพูดถึงการแข่งขันของ โอเปอเรเตอร์ ของไทย เรื่องของ คอนเทนต์ ก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ไม่มีใครยอมใคร และดูเหมือน ทรูมูฟเอช (TrueMove H) จะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำในเกมนี้ และโดน หมัดน็อก จาก เอไอเอส (AIS) เพราะเดินเกมพลาดเสียลิขสิทธิ์สำคัญอย่าง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ให้กับ JAS หรือ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล

ตลอด 30 ปี ทรู เสียพรีเมียร์ลีกไป 2 ครั้ง

ย้อนกลับไปในช่วงเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมา ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกมาอย่างยาวนาน คือ True Visions ที่ได้ลิขสิทธิ์ตั้งแต่ฤดูกาล 2007-2008 มาจนถึง 2012-2013 แต่ในปี 2013-2016 ทาง True Vision ได้เสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกให้กับ บริษัท เคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) จำกัด หรือ CTH ผู้ให้บริการเคเบิลทีวีในประเทศไทย ที่ทุ่มเงินกว่า 10,100 ล้านบาท เอาชนะการประมูลไป

โดยทาง CTH ได้ปักราคาแพ็กเกจไว้ที่ 300-500 บาท โดยตั้งเป้าหมายในการขายสมาชิกแพ็กเกจที่ 1 ล้านราย เพื่อที่จะ ทำกำไร แต่กลับมีสมาชิกเพียง 2 แสนราย ห่างไกลกับเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก ยังไม่รวมต้นทุนอื่น ๆ เช่น เทคโนโลยี และโครงข่ายในการถ่ายทอด ส่งผลให้บริษัทขาดทุนอย่างหนัก จนต้องยุติการให้บริการในปี 2016

ถัดจากนั้น ฤดูกาล 2016-2019 เป็น beIN Sports ที่ได้รับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ด้วยเม็ดเงิน 9,900 ล้านบาท แต่ ทรูก็ร่วมเป็นพันธมิตร ถ่ายทอดสดช่องทางเพย์ทีวีผ่านทรูวิชั่นส์ จนมาปี TrueVisions ก็ได้ดีลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลปี 2019-2022 และลากยาวต่อเนื่องมาจนถึงฤดูกาลปี 2022-2025 โดยใช้เงินซื้อลิขสิทธิ์ที่ปีละราว ๆ 10,000 ล้านบาท

เสียพรีเมียร์ลีกครั้งนี้ ไม่เหมือน 2 ครั้งก่อน

จนกระทั่งในปี 2025-2030 ทางกลุ่มทรูก็ ยกธงขาว ยอมแพ้การประมูลให้กับ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไปครองเป็นระยะเวลา 6 ฤดูกาล ตั้งแต่ 2025-2026 ไปจนถึง 2030-2031 ด้วยมูลค่าสูงถึง 19,000 ล้านบาท ซึ่งทรูมองว่า ถ้าต้องเสียเงินด้วยต้นทุนดังกล่าว ไปต่อได้ยาก

เพราะที่ผ่านมา ทรูถึงกับต้องปรับ ราคาแพ็กเกจ ฤดูกาล 2024-2025 ขึ้นมาเกือบ เท่าตัว จากราคาเต็มจะอยู่ที่ 3,200 บาทต่อฤดูกาล แถมมีราคา Early Bird ที่ 2,900 บาทต่อฤดูกาล มาเป็น 5,490 บาทต่อฤดูกาล และ 799 บาทต่อเดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ต้นทุนมันสูงมากจริง ๆ จนต้องมาขึ้นราคาในปีสุดท้าย

และเมื่อ ราคาแพงขึ้น จนลูกค้าหลายคนส่ายหัว ช่องทางธรรมชาติ ที่ผิดลิขสิทธิ์ ก็กลายเป็นอีก ทางเลือก ไปโดยปริยาย ดังนั้น แปลว่าความท้าทายของผู้ที่ได้สิทธิ์พรีเมียร์ลีกจากนี้ก็คือ ช่องเถื่อน หากทำราคาที่เข้าถึงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม การเสียลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ เพราะผู้ที่ได้ไปคือ JAS ซึ่ง AIS เพิ่งเข้าซื้อหุ้นใน บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือ JAS ส่งผลให้ JAS รับทรัพย์ 2.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ในเมื่อ JAS ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกไป AIS จึงถูกมองว่าต้องได้ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกแบบนอนมาแน่นอน

ปั้น Entertainment Hub สู้ King of Sports

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ TrueVisions ที่มีคอนเทนต์แม่เหล็กอย่างฟุตบอลพรีเมียร์ลีกจนสามารถสถาปนาตัวเองเป็น King of Sports ทางฝั่งของ AIS ก็กำลังคลำทางในการปั้นแพลตฟอร์ม AIS Play เพื่อมาต่อกร และกลยุทธ์ที่ AIS ทำก็คือคว้า พันธมิตร ให้มาอยู่ด้วยให้มากที่สุด ไม่ได้เน้นการซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ หรือไปผลิตคอนเทนต์เอง เพราะมองแล้วว่า ไม่น่าเวิร์ก เนื่องจากไม่ได้ถนัด และต้องใช้ต้นทุนมหาศาล

ทำให้ไม่ว่าแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งเจ้าไหนเข้ามาในตลาด AIS เก็บหมด ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Disney+ Hotstar, Prime Video, Max, Viu, iQiYi, WeTV, MonoMax เรียกได้ว่า เอ่ยชื่อแพลตฟอร์มไหน AIS มีหมด ซึ่งนั่นก็ทำให้ภาพลักษณ์ของ AIS ในด้านการเป็น Entertainment Hub ยิ่งชัดในสายตาผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพของการเป็น Entertainment Hub ของ AIS จะชัดเจนมากในตลาด แต่ ณ ตอนนั้น รุ่งทิพย์ จารุศิริพิพัฒน์ หัวหน้าส่วนงาน AIS PLAY มองว่า การเป็น Entertainment Hub ยังไม่ได้ดึงดูดให้เกิดการ ย้ายค่าย แต่ช่วยให้กับลูกค้าเดิมอยู่กับค่ายนานขึ้นมากกว่า

จากแค่ตรึง สู่การดึงลูกค้าย้ายค่าย!

แต่หลังจากที่ JAS ได้ประกาศว่า AIS เป็นพันธมิตรในการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แถมยังเอาสิทธิ์ ฟุตบอลไทยลีก มาได้อีก นั่นแปลว่า AIS ได้ จิ๊กซอว์ครบทุกตัว ที่จะใช้ แย่งลูกค้าทรู มาอยู่ในมือ ไม่ใช่แค่มีคอนเทนต์ไว้ตรึงลูกค้าให้อยู่กับค่ายอีกต่อไป

ทำให้ AIS เปิดศึกโดยการ ดั๊มพ์ราคา สุดว้าวที่ 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี ดูได้ 1 จอ จากที่ True เคยทำไว้ 799 บาทต่อเดือน และ 5,490 บาทต่อปี ดูได้ 2 จอ เรียกได้ว่า หารครึ่ง ก็ยังแพงกว่า และถ้าเป็น ลูกค้า AIS ราคาลดไปอีกเหลือ 199 บาทต่อเดือน และ 1,999 บาทต่อปี ได้ดูทั้งพรีเมียร์ลีก ไทยลีก และคอนเทนต์ Monomax

ไม่ใช่แค่ราคาที่จูงใจให้ ย้ายค่าย แต่ AIS ยังออก แพ็กเกจย้ายค่าย ทั้งโมบายและเน็ตบ้าน พร้อมให้ดูพรีเมียร์ลีกฟรีทั้งฤดูกาล โดยโมบายจ่ายเดือน 699 บาท ได้โทร 200 นาที เน็ต 5G 45GB ส่วนเน็ตบ้านราคาเดียวกันได้อินเทอร์เน็ต 500/500 Mbps และไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ดูทันทีเพราะรอย้ายค่าย เพราะ AIS จะให้ ซิมดูบอล ไปใช้ก่อนเลยระหว่างรอ เรียกได้ว่าดึงดูดกันสุด ๆ เพราะ AIS คิดไว้แล้วว่าถ้าเพิ่มฐานลูกค้าได้มาก ก็จะยิ่งเป็นผลดีในระยะยาว

True แอบจัดโปร Monomax?

แน่นอนว่าฝั่ง True เองก็คงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เพราะนอกจากมีการปรับทัพคอนเทนต์ใหม่ไปเน้นเอนเตอร์เทนเมนต์มากขึ้นแล้ว ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับ ลูกค้าที่สมัครแอปฯ กีฬา ตั้งแต่ 299 บาทขึ้นไปต่อรายการ และชำระด้วยเบอร์ทรูและดีแทค รับส่วนลด 100 บาท ไปเลย

แม้ว่า True จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า AIS แล้วต้องการดูพรีเมียร์ลีก ก็มีแต่ต้องดูผ่าน Monomax ในราคา 299 บาทเท่านั้น ซึ่งทางทรูก็ชิงให้ส่วนลดไปเลย 100 บาท สำหรับลูกค้าทรูที่สมัครแอป Monomax แล้วจ่ายผ่านทรูหรือดีแทค สรุปง่าย ๆ ลูกค้าทรูก็ดูพรีเมียร์ลีกได้ผ่าน Monomax ได้ในราคา 199 บาท โดยไม่ต้องย้ายค่าย เพราะทรูลดราคาให้เองเลย!

ซึ่งโปรฯ ดังกล่าวก็ทำให้ JAS ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าวทันที พร้อมกับยืนยันว่า JAS ไม่มีนโยบายอนุญาตให้ทรูดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการขายในลักษณะนี้ และบริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งหนังสือแจ้งไปยังทรู เพื่อให้ ยุติการเผยแพร่โปรโมชันดังกล่าวในทุกช่องทางทันที และยืนยันว่าโปรโมชันนี้จะต้องถูกยกเลิกตลอดระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง

เรียกได้ว่า สงครามสตรีมมิ่งเดือดยิ่งกว่าสงครามส่งด่วน เสียอีก งานนี้ก็คงต้องรอดูกันยาว ๆ ว่า AIS ที่ได้อาวุธครบมือจะโกยลูกค้าเข้าบ้านได้มากน้อยแค่ไหน และ True จะงัดอะไรออกมาต่อกรอีกบ้าง