‘สวนสยาม’ ธุรกิจที่เริ่มต้นจาก ‘ความสุข’ และยืนยันจะไปต่อ แม้จะแบก ‘หนี้’ กว่าพันล้าน

ในปีนี้ ‘สวนสยาม’ หรือ ‘สยามอะเมซิ่งพาร์ค’ จะครบรอบ 45 ปี และแม้จะมีหนี้กว่าพันล้านบาท จากการลงทุนโปรเจกต์ ‘บางกอกเวิลด์’ และผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวหายไป แต่ทาง ‘วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ’ ทายาทสวนสยาม ยืนยันจะดำเนินธุรกิจต่อไป เพื่อให้ที่นี้ยังสร้าง ‘ความสุข’ ให้กับคนไทยต่อไป ตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อ ‘ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ’ ที่ก่อตั้งสวนสยามขึ้นมา

 

“ตอนนี้ทำธุรกิจยากมากจากหลายปัจจัย แต่พ่อสร้างสวนสยามขึ้นมาบนพื้นฐานเพื่อสร้างความสุขของคนไทย และพ่อก็รักที่นี้มากทั้ง ๆ ที่ธุรกิจนี้เหนื่อยมาก กำไรก็น้อย อย่างทุกวันนี้ท่านยังมาสวนสยามทุกวันแม้จะอายุ 88 ปีแล้ว”

 

สวนสยาม-ธุรกิจที่เริ่มต้นจากคำว่า-ความสุข

 

ย้อนกลับไปในปี 2523 ‘ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ’ ได้ก่อตั้งสวนสยามขึ้นมา ในคอนเซ็ปต์ Every is Amazing เป็นสวนสนุกและสวนน้ำขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ เป้าหมายเพื่อให้คนไทยมีโอกาสได้มีแหล่งท่องเที่ยวอย่างสวนสนุกและสวนน้ำที่มีมาตรฐานระดับโลก โดยไม่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ

 

วุฒิชัย เล่าว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาสวนสยามผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย แต่ก็สู้ไม่ถอย แม้กระทั่งตอนนี้จะมีหนี้ 1,500 ล้านบาท จากการลงทุนโปรเจกต์ใหญ่ ‘บางกอกเวิลด์’ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 70 ไร่ บริเวณด้านหน้าทางเข้าสวนสนุก สำหรับปั้นเป็นแลนด์มาร์ก เพื่อเป็นจิ๊กซอว์ใหม่ในการดึงนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับสวนสยาม  

 

เหตุผลนอกจากจะเป็นธุรกิจที่คุณพ่อของเขารักและมีความสุขที่ได้ทำแล้ว ยังมาจากเห็นโอกาสของธุรกิจสวนสนุกและสวนน้ำที่ไปต่อได้ รวมถึงต้องการให้สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และดึงคนในครอบครัวออกมาใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งเป็นการสร้างความสุขในอีกรูปแบบหนึ่ง

 

“ธุรกิจนี้ยังไปได้ อีกส่วนคือมูลค่าที่ดินของเราสูงมาก เพราะอยู่ย่านชุมชน มีขนาดพื้นที่ผืนใหญ่ ให้ผมคิดเร็วๆ ถ้าที่ดินตารางวาละ 100,000 บาท รวมราคาก็ประมาณ 10,000 ล้านบาท หากขายแล้วเอามาล้างหนี้ ยังมีเงินเหลืออีกเยอะ เพราะเราเป็นหนี้แบงก์อยู่ประมาณ 1,500 ล้านบาท มันเป็นสิ่งที่คุยกันในครอบครัว ให้สู้ต่อไม่ต้องกลัว”

 

กลับมาโฟกัสธุรกิจหลักเพื่อไปต่อ

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้การทำธุรกิจมีความยากลำบากมากขึ้น จากการที่ลูกค้าหายไป 30-40% เนื่องจาก 1. สภาพอากาศที่ปีนี้ฝนมาเร็ว 2.นักท่องเที่ยวต่างชาติลดไป และ 3. ที่ส่งผลกระทบมากสุด คือ คนไทยที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักหายไป จากกำลังซื้อที่ลดลง ซึ่งเห็นผลกระทบชัดเจนตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น วุฒิชัยบอกว่า ถ้าไม่ใช้ ‘การลดราคา’ หรือจัด ‘โปรโมชั่น’ มากระตุ้น การดึงลูกค้าให้มาใช้บริการเป็นไปได้ยากมาก ดังนั้น จึงมีแนวคิดในการทำระบบ subscription เป็นการแบ่งเบาภาระในการใช้จ่ายของลูกค้าและกระตุ้นให้เกิดความถี่ในการมาใช้บริการให้มากกว่าเดิม

 

“ราคาบัตรเราอยู่ที่ 500 บาท ถ้ามีโปรฯ จะอยู่ที่ 400 บาท ส่วนไอเดีย subscription เราเห็นร้านสุกี้ทำแล้วเวิร์ก เลยเก็บมาคิด เนื่องจากลูกค้าที่มาใช้บริการจะมาเป็นครอบครัว แทนที่จะควักเงินก้อนใหญ่ ถ้าให้ผ่อนได้คนอาจจะสนใจ ตอนนี้อยู่ระหว่างการคุยความเป็นไปได้กันอยู่”

 

ขณะเดียวกัน จะหันมาโฟกัสการพัฒนาธุรกิจหลักอย่างสวนสนุกและสวนน้ำให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 200 ล้านบาท เพื่อสร้างความแปลกใหม่และกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความตื่นเต้น โดยจะปรับปรุงสวนน้ำให้มีความทันสมัย ตลอดจนเตรียมเปิดเครื่องเล่นทั้งในสวนสนุกและสวนน้ำ

 

คาดว่า เฟสแรกจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2568 และมีแผนที่จะเปิดให้บริการเครื่องเล่นทางน้ำขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก 2 ชนิด ที่จะสร้างความสนุกแบบเอ็กซ์ตรีมเอาใจกลุ่มวัยรุ่น คาดจะเสร็จภายในปี 2569

มีความคิดย้ายที่ตั้งสวนสยาม

 

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดจะย้ายที่ตั้งสวนสยามไปอยู่โลเคชั่นอื่น เพื่อให้สะดวกต่อการดำเนินธุรกิจ และการลงทุนใหม่ ๆ ที่สามารถดีไซน์ได้ตามความต้องการ

 

“สมัยก่อนสวนสยามตั้งอยู่กลางทุ่งนา พอมีการพัฒนาและขยายของเมือง ตอนนี้เราอยู่ในย่านชุมชน มีโดนตำหนิเรื่องทำให้รถติด เสียงดัง ซึ่งหากมีการย้ายเรามองไว้หลายที่ แต่ต้องมีพูดคุยกันในครอบครัวก่อนว่าจะเป็นอย่างไร”

 

สำหรับบางกอกเวิลด์ ทางวุฒิชัยบอกว่า ต้องพักไว้ประมาณปีหรือสองปี รอให้เศรษฐกิจฟื้นฟูและนักท่องเที่ยวกลับมา ซึ่งเดิมทีโปรเจกต์ดังกล่าวคาดหวังจะเก็บดอกออกผลได้ประมาณปี 2566-2567 แต่สุดท้ายพอเกิดการระบาดโควิด-19 ทุกอย่างผิดแผนไปหมด และตอนนี้เองตัวเลขนักท่องเที่ยวก็ยังไม่กลับมาอย่างที่ควรจะเป็นด้วย

 

“บางกอกเวิลด์ อิงกับผู้มาใช้บริการที่สวนสยาม แต่หลังจากโควิดมาตัวเลขยังไม่กลับไปที่เดิม มันเลยไม่น่าดึงดูดเท่าไร เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องมาให้ความสำคัญกับตัวสวนน้ำสวนสนุกมากขึ้น โดยตัวเลขที่คิดว่าดี คือ ต้องมีนักท่องเที่ยว 800,000-1,200,000 คน แต่ตอนนี้เหลือ 500,000 คน คงต้องใช้เวลา”

แม้จะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้ามากมาย และภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มไม่ดีนัก แต่ทายาทสวนสยามยืนยันจะเดินหน้าธุรกิจนี้ต่อไปเพื่อสร้างความสุขให้คนไทย ตามความตั้งใจของผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นคุณพ่อของเขาอย่าง ‘ดร.ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ’

 

“ในฐานะเจ้าของหลายคนมองว่า เราอาจไม่มีความสุข แต่ผมยืนยันเรามีความสุขจากการเห็นลูกค้ามีความสุข และตอนทำมา 28 ปี เราขาดทุน เรายังอยู่ได้เลย บวกกับเหตุผลต่าง ๆ ที่บอกไป ทำให้เรายังเดินหน้าต่อไป”