จากจุดเริ่มต้น “กลุ่มมโนยนต์“ ผู้ผลิตอะไหล่และชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของไทย รายได้กว่า 2 หมื่นล้านบาท
ทว่าด้วย แพชชั่นด้านเกษตรกรรม บวกกับการมองหาธุรกิจใหม่รองรับในวันที่ตลาดยานยนต์อิ่มตัว เมื่อ 20 ปีก่อน ได้ริเริ่ม CLP GROUP ขึ้นมา รุกธุรกิจนวัตกรรมเครื่องจักรทางการเกษตร เพื่อยกระดับเกษตรกรรมในไทย
เครื่องจักรเกษตรกรรมแข่งดุ “สินค้าจีน” ทะลักตลาด ทำผู้ประกอบการไทยล้มหาย 20%
วัชรา ลี้โกมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CLP GROUP เปิดเผย “Positioning” ว่า ช่วงแรกของธุรกิจ บริษัทฯ ได้นำเข้าเครื่องสีข้าวจากประเทศญี่ปุ่น แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถนำมาใช้ในประเทศไทยได้ 100% ด้วยสภาพอากาศ และการทำเกษตรที่แตกต่างกัน
ทำให้บริษัทฯ พัฒนาเครื่องจักรของตัวเอง ออกแบบมารองรับความต้องการของเกษตรกรไทย มีทั้งเครื่องสีข้าว และอบข้าว
อย่างไรก็ดี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเครื่องจักรทางการเกษตรไทย ถูกดิสรัปชั่นอย่างหนัก จากการเข้ามาของสินค้าจีน โดยเฉพาะ “เครื่องจักรทางการเกษตรขนาดเล็ก” ส่งผลให้ผู้เล่นในไทยล้มหายจากตลาดราว ๆ 20% และหันไปทำธุรกิจอื่นแทน
โดยปัจจัยหลักมาจาก จีนมี Economies of Scale ที่ดีกว่าผู้ประกอบการไทย โดยการผลิต 1 รอบ ทำได้หลักล้านเครื่อง ขณะที่ในไทยผลิตรอบละหลักร้อยเครื่องเท่านั้น
ส่งผลให้ ต้นทุนสินค้าจีน ราคาถูกกว่าไทย 60% เช่น เครื่องจักรทางเกษตรขนาดเล็กในไทยต้นทุนมีราคา 16,000 – 20,000 บาท แต่ของจีนทำราคาได้ตั้งแต่ 7,000-10,000 บาท เป็นต้น
ประกอบกับเกษตรกรไทย ส่วนใหญ่เป็นรายย่อย สัดส่วนราว 90% ซึ่งมีงบประมาณจำกัด จึงเลือกซื้อของจีนที่ราคาเข้าถึงง่ายมากกว่า แม้จะไม่มีบริการหลังการขาย หรือใช้แล้วต้องเปลี่ยนเครื่องทุกปีก็ตาม
“เราเห็นภาพรวมตลาดที่สินค้าจีนเข้ามาบุกหนัก ถ้าให้เราแข่งขันด้านราคาจะสู้เขาไม่ได้ ทำให้ CLP รุก ‘นวัตกรรม’ เครื่องจักรการเกษตร และเน้นไซซ์ขนาดกลาง-ใหญ่ขึ้นไปแทน”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ขยายการเข้าถึงเกษตรกร โดยร่วมทำงานกับภาครัฐ ตั้งแต่ด้านเครื่องจักรสีข้าว-อบข้าว ศูนย์คัดแยกเมล็ดพันธุ์ข้าว โดยนำสินค้าเข้าถึงระดับชุมชน และเข้าไปให้ความรู้เกษตรกรยุคใหม่ ซึ่งขณะนี้มีเครือข่ายเกษตรกรมากกว่า 500 รายแล้ว

จ่อผุด ”เวนดิ้งเครื่องสีข้าว/อบข้าว“ ตามชุมชน เกษตรกรไม่ต้องซื้อเครื่องก็ใช้บริการได้
สำหรับแผนปี 2568 โฟกัสการผลักดันนวัตกรรมทางเกษตรของ CLP เข้าถึงเกษตรกรรายย่อยที่มีสัดส่วนสูงถึง 90%
และมักมีงบจำกัด ผ่านการทำ “เวนดิ้งเครื่องสีข้าว” มีรูปแบบคล้าย Vending Machine ที่สแกน QR Code จ่ายเงินก็สามารถใช้บริการได้
โมเดลนี้คาดว่า เครื่องจักรต้นแบบพร้อมใช้ภายในปลายปี 2568 นำร่อง 5 พื้นที่ ก่อนในปี 2569 จะขยายพื้นที่อีก 50 แห่งทั่วประเทศ เน้นจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งจะตั้งในศูนย์กลางชุมชน เช่น ศูนย์ข้าว หรือ โรงเรียน เป็นต้น โดยวางราคาไว้ราว 10 บาท/กิโลกรัม
ข้อดีของโมเดลนี้ คือ ปิดช่องว่างของพ่อค้าคนกลาง โดยผลผลิตทั้งหมดในการสีข้าว เกษตรกรนำกลับไปได้ทั้งหมด รวมถึงรำข้าว และปลายข้าวที่แตกจะกระบวนขัดสีข้าว ซึ่งในบางโรงสีไม่ได้คืนในส่วนนี้ หรือมีข้อตกลงการแบ่งข้าวกับเกษตรกร ทำให้เกษตรกรได้ผลผลิตคืนไปจริง ๆ เพียง 40-60%
วัชรา กล่าวเสริมว่า โมเดลนี้เป็นทางเลือกให้เกษตรกร สามารถนำข้าวบางส่วน สัก 20% ของผลผลิตรวม ที่ตั้งใจขายทำกำไรเต็ม ๆ มาใช้บริการ เพราะจะรู้หมดในขั้นตอนนี้ว่าข้าวมีความชื้นเท่าไร ควรขายในราคาเท่าไรจึงคุ้มค่า
ทั้งนี้ โมเดลเวนดิ้งเครื่องสีข้าว จะใช้วิธีแบ่งรายได้กับเจ้าของพื้นที่ ซึ่งเจ้าของพื้นที่ได้ 40% ส่วน CLP 60% แต่หน้าที่บำรุงรักษาเครื่องต่าง ๆ บริษัทฯ จะเข้าไปดูแลทั้งหมด
ทำไมเกษตรกรไทยรวยยาก-เวียดนามเบียดไทยตกเบอร์ 3 ข้าวโลก
เมื่อถามถึงปัญหาใหญ่ (Pain Point) ของเกษตรกรไทย วัชรา ให้ความเห็นว่า หลัก ๆ เป็นเรื่อง รายได้ไม่คงที่ ผลผลิตไม่รู้จะขายได้หรือไม่ เช่น เมื่อของล้นตลาด เกษตรกรไม่สามารถจำแนกเกรดข้าวได้ ทำให้ขายได้ราคาต่ำ
แต่หากส่งเสริมเกษตรกร ให้เรียนรู้การแปรรูปข้าวเบื้องต้น (ไม่ใช่ขายข้าวไม่ยังไม่ผ่านการอบ/สีข้าว) และใช้เครื่องจักรที่มีเสถียรภาพสูง ให้สามารถจำแนกเกรดข้าวได้ และได้รับการการันตี ก็จะทำให้ขายข้าวได้ในราคาสูงขึ้นได้
ขณะที่ กระแสข้าวไทย ถูกเวียดนามเบียดตกจากเบอร์ 2 ไปสู่เบอร์ 3 ของโลกนั้น คีย์หลักอยู่ที่การวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่เวียดนามมุ่งเน้นทุ่มทุนมากกว่าไทย ทำให้เขาสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้หอมขึ้น ทนสภาพอากาศมากขึ้น และมีผลผลิตมากกว่าไทย
“ด้วยแลปต่าง ๆ ที่เวียดนามมีจำนวนมากกว่าไทย ทำให้เวียดนามใช้เวลาพัฒนาสายพันธุ์ใหม่เพียง 1-2 ปี/สายพันธุ์ ส่วนไทยเน้นทดลองพื้นที่จริง ทำให้ใช้เวลาพัฒนานาน 7-8 ปี/สายพันธุ์”
ตั้งเป้ารายได้แตะ 1 พันล้านบาท
นอกจากการรุกตลาดไทยแล้ว CLP มองการเติบโตด้านการส่งออกนวัตกรรมดารเกษตรไปสู่ฟิลิปปินส์และลาวเพิ่มเติม
โดยปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ 950 – 1,000 ล้านบาท เติบโต 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY)




