ตั้งแต่ปีก่อน ไทยเบฟ ได้ซุ่มขยาย “ร้านโชคชัย” เจาะค้าปลีกชุมชน และปัจจุบันได้เร่งขยายเครือข่ายร้านโชห่วย โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด
อย่างไรก็ดี การลุย “ร้านโชคชัย” อาจไม่ใช่แค่การรีแบรนด์ร้านโชห่วยธรรมดา แต่เป็นการสร้าง “เครือข่ายค้าปลีกในคราบร้านชุมชน” ของไทยเบฟแบบเงียบ ๆ!
[วิเคราะห์กลยุทธ์ของร้านโชคชัย]
1. เปลี่ยนร้านโชห่วยให้กลายเป็น “Soft Franchise” ของไทยเบฟ
ร้านโชคชัยคือรูปแบบ “แฟรนไชส์ในโมเดลยืดหยุ่น” คือ ร้านยังเป็นของเจ้าของเดิม แต่ได้ทีมไทยเบฟเข้ามาตกแต่ง วางระบบ จัดเรียงสินค้า และติดป้ายแบรนด์ให้
โดยเจ้าของร้าน “ไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่บาทเดียว” แต่ต้องยินยอมให้ “อย่างน้อย 50% ของพื้นที่ร้าน” เป็นสินค้าของไทยเบฟ (อ้างอิงตามเงื่อนไขร้านโชคชัยระบุ)
ตรงนี้จะเข้ากรอบ Win-Win ทั้ง 2 ฝ่าย ไทยเบฟได้พื้นที่ขายสินค้าจากเจ้าของร้าน ส่วนโชห่วยได้ปรับร้านค้าให้ทันสมัยขึ้น และมีการวางระบบ ช่วยให้ร้านค้าสามารถวิเคราะห์ข้อมูลยอดขาย และสต๊อกของได้ตรงจุด
2. ระบบ POS = ข้อมูลลูกค้ามีค่ายิ่งกว่าทองคำ
ร้านโชคชัย จะเข้ามาวางระบบให้โชห่วย พร้อมกับให้เครื่องบันทึกเงินสด (POS) ฟรี ไม่ใช่เพื่อให้ร้านดูทันสมัยเฉย ๆ แต่คือ การเก็บข้อมูลยอดขายจริง (Real-time Sales Data)
ไทยเบฟ จะรู้ทันทีว่าสินค้าตัวไหนขายดีในพื้นที่ไหน, ร้านไหนยอดตก, และพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไร
โดยข้อมูลนี้จะต่อยอดได้ทั้งด้านโลจิสติกส์, แผนตลาด, การผลิต และกลยุทธ์สินค้าต่อไปในอนาคต

3. เสริมการแข่งขันในตลาดฐานราก
เพราะร้านโชห่วย เข้าถึงคนได้ตั้งแต่ระดับหมูบ้าน แม้กระทั่งชุมชนเล็ก ๆ ที่ยังไม่มีร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เข้าไปถึง
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแข่งขัน ตั้งแต่ระดับฐานราก โดยเงื่อนไขของร้านโชคชัยชัดเจนว่า “ร้านที่เข้าร่วม ต้องไม่เข้าร่วมโครงการลักษณะเดียวกันกับบริษัทอื่น”
เรียกได้ว่า ยึดหน้าร้านการแข่งขันในชุมชนนั้น ๆ ให้เป็นของไทยเบฟ เพราะหากเข้าร่วมร้านโชคชัย ก็ไม่สามารถเข้าร่วมโมเดลใกล้เคียงกันได้
ซึ่ง ข้อได้เปรียบของร้านโชคชัย คือ ทุกอย่างฟรี ตอบโจทย์โชห่วยที่มีเงินทุนหมุนเวียนน้อย ต่างจากโมเดลคู่แข่งที่ร้านค้าอาจต้อง “ลงทุนร่วมบางส่วน”
4. ระบบสะสมแต้ม = ผูกใจร้านค้า
โครงการโชคชัยมีระบบสมาชิกสะสมคะแนน (เหมือน Loyalty Program) ยิ่งร้านค้าซื้อสินค้าไทยเบฟมาก ก็ยิ่งได้แต้มไปแลกของรางวัล
นี่คือการ “ผูกใจเจ้าของร้าน” ให้กลายเป็น ลูกค้าประจำของไทยเบฟ ในระยะยาว โดยที่ไทยเบฟไม่ต้องใช้เงินตลาดก้อนใหญ่

5. กิจกรรมผลักดันยอดขาย = ขับเคลื่อนทั้งหน้าร้านและหลังบ้าน
ไทยเบฟยังจัดกิจกรรมช่วยร้าน เช่น โปรโมชัน, แคมเปญขาย, หรือกิจกรรมในชุมชน ทำให้ร้านโชคชัยดู “มีชีวิตชีวา” กว่าร้านโชห่วยทั่วไป
6. ภาพลักษณ์ใหม่ + ESG
ร้านโชห่วยแบบเก่าๆ มักดูไม่ทันสมัย แต่เมื่อมีทีมไทยเบฟเข้ามาช่วยปรับปรุงร้าน ติดป้ายใหม่ จัดหมวดหมู่ของ ชุมชนก็จะมองว่าร้านนี้ “น่าเข้า สะอาด ทันสมัย” ซึ่งส่งผลให้ยอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้น
ส่วนไทยเบฟได้ภาพ “แบรนด์ช่วยพัฒนาชุมชนพัฒนา” สอดคล้องกับแนวคิด ESG และการทำธุรกิจยั่งยืน เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ผลักดันอยู่
สรุปสั้น ๆ
“ร้านโชคชัย” ไม่ใช่แค่ร้านโชห่วยที่ถูกตกแต่งใหม่ แต่คือ กลยุทธ์ปักธงของไทยเบฟในระดับหมู่บ้าน
โดยใช้วิธี “ให้ฟรี แต่ได้กลับมากกว่า” คือ ได้พื้นที่ขาย ได้ข้อมูลจริง ได้ความสัมพันธ์กับร้านค้า และได้ภาพลักษณ์แบรนด์ในใจคนชุมชน



