ย่านสีลม เคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ร้านค้า โรงแรม และอาคารสำนักงานเรียงรายเต็มถนน ก่อนที่การมาถึงของรถไฟฟ้า BTS จะทำให้ความสนใจของเมืองไหลไปสู่ย่านสาทรและสุขุมวิทแทน
วันนี้ Narai Hospitality กำลังจะพาย่านนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการพัฒนาโครงการ “หทัย (Hatai)” บนที่ดินประวัติศาสตร์ของ โรงแรมนารายณ์ ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2511 และถือเป็นหนึ่งในโรงแรมระดับตำนานของกรุงเทพฯ
รีโนเวตครั้งใหญ่สู่โครงการไอคอนิกย่านสีลม

นที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (Narai Hospitality Group) กล่าวว่า ช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด โรงแรมนารายณ์ตัดสินใจรีโนเวตใหญ่ ในรอบ 54 ปี (นับจากปีเปิดตัว-ตอนรื้อถอนปี 2565)
โดยปั้นเป็นเมกะโปรเจกต์ชื่อ ‘หทัย’ (Hatai) วางไว้เป็น Transformative Destination เชื่อมโยงผู้คนกับชุมชน ผ่านพื้นที่สีเขียว พื้นที่พักผ่อน ร้านอาหาร และพื้นที่กิจกรรมต่าง ๆ
มาพร้อม “ดีไซน์อาคารเอวโค้ง” รูปแปลกตา ได้รับแรงบันดาลใจจาก โคมไฟซ้อนทับกันในแนวตั้ง เมื่อมองตอนกลางคืนตึกนี้จะเหมือนโคมไฟเรืองแสง เป็นตึกที่มีดีไซน์ร่วมสมัย และคงอัตลักษณ์ไทยไว้ได้
“เราตั้งใจให้ ‘หทัย’ เป็นจุดหมายปลายทางที่เข้ามาเติมเต็มสีสันให้กับย่านสีลม และกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในใจของผู้คน เป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่ช่วยยกระดับกรุงเทพฯ ให้ดียิ่งขึ้น โดยโครงการมีแผนเปิดตัวไตรมาส 4 ปี 2570”

ปักหมุด 2 โรงแรมหรูแห่งใหม่
ภายในโครงการหทัย ประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้
1.โรงแรมนารายณ์ (ส่วนหนึ่งของแบรนด์ The Unbound Collection by Hyatt)
- คอนเซ็ปต์ เน้นความหรูหรา ที่ให้ความรู้สึกสบายและเป็นกันเอง
- จำนวน 245 ห้อง ขนาดใหญ่สุด 170 ตร.ม. แต่สามารถเชื่อมห้องจนมีขนาดใหญ่ถึง 200 ตร.ม. ได้
- ความสูงห้องเฉลี่ย 3.4 เมตร
2.โรงแรม Six Senses Bangkok
- คอนเซ็ปต์เน้นความสงบและเป็นส่วนตัว
- ทาร์เก็ตระดับอัลตร้าลักชูรี
- มีจำนวน 101 ห้อง ไฮไลต์คือห้องสวีทขนาดใหญ่ 600–700 ตร.ม.
- ความสูงห้องเฉลี่ย 3.6 เมตร
แนวคิดของทั้งสองโรงแรมนั้น แม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ก็ถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกันภายใต้คอนเซ็ปต์ของ Hatai ประกอบไปด้วย พื้นที่สีเขียว, พื้นที่ค้าปลีกสไตล์ไลฟ์สไตล์, ร้านอาหาร, พื้นที่พักผ่อน, พื้นที่จัดงานหมุนเวียน และออดิทอเรียมสำหรับกิจกรรมและการแสดงแบบสตรีทโชว
”แม้จะมีการทำโรงแรมใหม่ แต่หลายสิ่งได้ถูกอนุรักษ์ไว้ เช่น ต้นไม้ใหญ่, การนำเสาเข็มเก่าของนารายณ์กว่า 2,000 ต้น มารีไซเคิลเป็นพื้น กำแพง ม้านั่ง และงานศิลปะ เป็นต้น”

ไลฟ์สไตล์รีเทลขนาด 6,000 ตร.ม.
ขณะเดียวกัน ด้วยโครงการหทัย ต้องการสร้างพื้นที่ให้คนได้มาใช้ชีวิตและมีส่วนร่วม แม้จะไม่ได้เข้าพักในโรงแรม
จึงวางพื้นที่รีเทล ขนาด 6,000 ตร.ม. มีร้านค้ารวม 30 แห่ง อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้า และบริการเพื่อสุขภาพ ตั้งแต่ร้านที่เข้าถึงง่ายไปจนถึงร้านระดับพรีเมียม โดยโซนร้านค้า จะมีทั้งรูปแบบคล้ายตึกแถวอยู่ข้างหน้าโรงแรม ประมาณ 3 คูหา (ดูรูปประกอบ) และโซนพลาซ่าข้างในอาคาร

รวมถึงมี พื้นที่หมุนเวียน ให้ชุมชนได้เข้ามาจัดกิจกรรมเวิร์กช็อป หรือเปิดร้าน Pop-Up ได้ โดยทีม Narai Hospitality จะเป็นผู้บริหารจัดการเอง พร้อมจับมือพันธมิตรสร้างกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปี
“วันไหนที่คนไม่อยากเข้าไปศูนย์การค้าใหญ่ ก็สามารถใช้บริการเราได้ อาจจะเป็นคนในพื้นที่ใกล้เคียง หรือผู้ที่อยากเข้ามาใช้บริการ”

พื้นที่สีเขียวกว่า 30% – ย้ายศาลพระนารายณ์ไว้หน้าโรงแรม
ทั้งนี้ มากกว่า 30% ของพื้นที่โครงการออกแบบให้เป็น ‘พื้นที่สีเขียว’ พร้อมจำลองคลองเล็ก ๆ กลับมาใส่ใจกลางโครงการ สะท้อนถึงคลองเดิมที่เคยอยู่บนสีลมก่อนเป็นถนน
“เราอยากให้กรุงเทพฯกลับมามีภาพลักษณ์แบบ ‘เวนิสแห่งตะวันออก’ อีกครั้ง”
นอกจากนี้ ยังย้ายศาลพระนารายณ์จากดาดฟ้ามาไว้ด้านล่าง เพื่อให้ผู้คนกราบไหว้บูชาได้สะดวกยิ่งขึ้น

นารายณ์ มุ่งขยายโรงแรมต่อ ทั้งไทย-ตปท.
ในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า นอกจากจะเปิดตัวโครงการเรือธงอย่าง ‘หทัย’ แล้ว
ยังเดินหน้า ขยายโรงแรมแบรนด์อื่นในพอร์ตฯ เช่น Lub d (ไลฟ์สไตล์โฮสเทล) และ Marasca (รีสอร์ต casual luxury) ทั้งในและต่างประเทศ เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต รวมถึงญี่ปุ่นและออสเตรเลีย โดยพิจารณาจากโอกาสและความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
ส่วนภาพรวมธุรกิจโรงแรม ปี 2568 แม้เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอน แต่ยังมองว่า ไทยได้เปรียบด้วยทำเลและฐานนักเดินทางจากประเทศในรัศมีบิน 4–5 ชั่วโมง เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นต้น
“ไตรมาส 1 ดีมาก มาสะดุดเล็กน้อยตอนแผ่นดินไหว ส่วนช่วงครึ่งปีหลังนี้น่าจะดีกว่าช่วงไตรมาส 2 เมื่อธุรกิจปรับตัวกับระบบภาษีใหม่ได้ รวมถึงมีเทศกาลและฤดูหนาวของยุโรป-รัสเซีย น่าจะช่วยหนุนตลาด”



