Strava ไม่ได้เป็นเพียงแอปพลิเคชัน แต่คืออาณาจักรเสมือนจริงของนักวิ่ง นักปั่น และนักผจญภัยทั่วโลก ด้วยการผสมผสานการติดตามข้อมูลสถิติ (Tracking) เข้ากับฟีเจอร์เชิงสังคมที่เปิดให้แชร์ต่อหรือแข่งขันกับเพื่อน (Social Features) ทำให้แอปฯ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 นี้ กลายเป็นเครื่องมือ “ที่ต้องมี” สำหรับผู้ที่ต้องการอวดผลงานการออกกำลังกายให้โลกได้รับรู้ จนถูกยกให้เป็น “Instagram แห่งการออกกำลังกาย”
แอปพลิเคชันจากซานฟรานซิสโกนี้อนุญาตให้ผู้ใช้หรือ “นักกีฬา” (athletes) สามารถบันทึกและแบ่งปันกิจกรรมการออกกำลังกายได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, การปั่นจักรยาน, การเดินป่า, การว่ายน้ำ และกิจกรรมอื่นๆ มากกว่า 40 ชนิด ซึ่งที่ผ่านมา กระแสความนิยมของ Strava พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากผู้คนหันมาออกกำลังกายนอกบ้านมากขึ้น ความสำเร็จนี้ทำให้ Strava กลายเป็นศูนย์รวมของอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟิตเนส สร้างวัฒนธรรมในหมู่นักวิ่งและนักปั่นให้พร้อมใจมาอยู่บน Strava
ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 ดาวรุ่งอย่าง Strava ประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบใหม่ ส่งผลให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งซีอีโอ Mike Martin เปิดเผยว่าบริษัทกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะทำรายได้ประจำปีแตะ 500 ล้านดอลลาร์ในไม่กี่อึดใจ โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา Strava มีการเติบโตของผู้ใช้ใหม่มากกว่า 50% และปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 150 ล้านคน
กำเนิดเวทมนตร์ Strava
ทุกเรื่องราวยิ่งใหญ่เริ่มจากจุดเล็กๆ และสำหรับ Strava อาณาจักร 2 พันล้านดอลล์เกิดได้เพราะการพบกันของ 2 เพื่อนทีมพายเรือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงยุค 80 โดยมาร์ก เกนีย์ (Mark Gainey) และไมเคิล ฮอร์วาธ (Michael Horvath) กลับมาพบกันหลังเรียนจบ เมื่อเกนีย์กลายเป็นนักลงทุนรุ่นเยาว์ ขณะที่ฮอร์วาธไป สอนที่สแตนฟอร์ด
ทั้งคู่เคยร่วมก่อตั้ง Kana Communications สตาร์ทอัปด้านโฆษณาออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในยุคจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งไอเดียตั้งต้นของ Strava ถูกจุดประกายในปี 1996 เมื่อทั้งคู่คุยกันถึงโอกาสในโลกอินเทอร์เน็ตที่กำลังบูม ผ่านปัญหาใหญ่ที่ว่านักกีฬาหลายคน ต้องออกกำลังกายคนเดียว การเข้าถึงเป้าหมายจึงเป็นเรื่องโหดหิน และขาดแรงจูงใจ
จนกระทั่งปี 2009 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้ง 2 หนุ่มตัดสินใจลุยเต็มตัว ก่อตั้ง Strava ในซานฟรานซิสโก ด้วยวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะสร้างแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่แค่บันทึกข้อมูล แต่เป็นพื้นที่สังคมสำหรับนักวิ่ง นักปั่น และนักกีฬาทุกประเภท ชื่อ “Strava” มาจากภาษาสวีเดนแปลว่า “strive” หรือ “พยายามอย่างสุดตัว” ซึ่งสะท้อนปรัชญาของแอปตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่คือการเติบโตไปด้วยกัน
ในยุคแรก Strava เริ่มต้นแบบเรียบง่าย คือผู้ใช้บันทึกเส้นทาง เปรียบเทียบเวลา และแบ่งปันเรื่องราว แต่สิ่งที่ทำให้ Strava แตกต่างคือ “เซ็กเมนต์” (segments) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถติดตามเวลาที่ทำได้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเส้นทางที่วิ่งหรือปั่น และนำไปเปรียบเทียบกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้จำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับการทำเวลาในเซ็กเมนต์ให้เร็วที่สุด
Strava ไม่ได้เติบโตแบบข้ามคืน แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ทำให้ Strava กลายเป็น “ทีมกีฬาใหญ่ที่สุดในโลก” ภายในไม่กี่ปี เพราะฟีเจอร์อย่าง leaderboards (อันดับคะแนน) และ challenges (ความท้าทายรายเดือน) ทำให้ผู้ใช้เกาะติดด้วยอารมณ์เหมือนเกมที่ให้รางวัลเป็นภาพป้ายและถ้วยรางวัลเมื่อทำสถิติใหม่ได้ เช่น วิ่งครบ 1,000 กิโลเมตร หรือปั่นขึ้นเนินชันสุดโหด การทำ gamification นี้ไม่ใช่แค่สนุก แต่เพิ่ม engagement สูงลิ่ว ผู้ใช้กลับมาเปิดแอปทุกวันเพื่อเช็กสถิติและดีใจกับชัยชนะเล็กๆ ที่ทำได้
ปี 2016 คือจุดพลิกผัน เมื่อ Strava เปิดตัว Summit subscription แพ็กเกจพรีเมียมที่เพิ่มงานวิเคราะห์ขั้นสูง ทำให้รายได้พุ่งจากโฆษณาและพันธมิตรอย่าง Garmin หรือ Nike ตั้งแต่ปี 2020 ฐานผู้ใช้ Strava จึงโตก้าวกระโดดท่ามกลางโควิดที่ทำให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายกลางแจ้งมากขึ้น Strava กลายเป็น “Instagram ของนักกีฬา” ที่ไม่ใช่แค่โพสต์รูป แต่โชว์ข้อมูลจริง เช่น ความเร็วเฉลี่ย หรือตัวเลขแคลอรี่ที่เผาผลาญได้
ล่าสุดในปี 2025 นี้ Strava ก้าวสู่จุดสูงสุดใหม่ คือผู้ใช้รายเดือนพุ่งแตะ 50 ล้านคน ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ทิ้งแอปนัดเดทหาคู่ เพื่อหาเพื่อนผ่านกลุ่มวิ่ง เกิดเป็นเทรนด์ฮิต “วิ่งด้วยกัน แล้วค่อยปัดขวา” ซึ่งไม่เพียงมูลค่าบริษัทที่ทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ CEO อย่างไมเคิล มาร์ติน (Michael Martin) ยังประกาศแผน IPO พา Strava เข้าตลาดหุ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชียและเพิ่มฟีเจอร์ AI สำหรับแผนฝึกซ้อมส่วนตัว
ดราม่า Garmin
การประกาศ IPO ของ Strava นั้นถูกส่งสัญญาณชัดเจนในช่วงตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นเดือนที่ Strava สร้างความตื่นเต้นให้วงการฟิตเนส ด้วยการฟ้อง Garmin ผู้ผลิตนาฬิกากีฬายักษ์ใหญ่ ฐานละเมิดสิทธิบัตรเรื่อง “Strava Segments” ที่เป็นหัวใจของแอป
Strava กล่าวหาว่า Garmin ละเมิดสิทธิบัตรสำคัญของ Strava ได้แก่ Segments และ Heat Maps และยังละเมิดข้อตกลงความร่วมมือหลักที่ทั้งสองบริษัทเคยทำไว้ โดย Heat Maps หรือแผนที่ความร้อนนั้นเป็นคุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นเส้นทางออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ซึ่งช่วยในการค้นหาสถานที่ใหม่ให้นักวิ่งได้เปิดประสบการณ์ร่วมกัน
การฟ้องนี้น่าแปลกใจเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Strava และ Garmin มีความร่วมมืออันดีมานานหลายปี โดย Strava อนุญาตให้ผู้ใช้นาฬิกาติดตามฟิตเนสของ Garmin สามารถบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายลงในแอป Strava ผ่านแพลตฟอร์ม Garmin Connect ได้ อย่างไรก็ตาม Strava ต้องการแก้ไขประเด็นที่ Garmin ออกคำสั่งให้ Strava ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ในการติดลายน้ำ (watermarking) ข้อมูลการออกกำลังกายที่โพสต์บน Strava ด้วยข้อมูลอุปกรณ์ Garmin ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป
ล่าสุด ชุมชนนักกีฬาไม่ต้องแตกตื่นว่าจะเกิดสงครามเย็นระหว่างแอปกับ gadget อย่างที่กังวล เพราะ Strava ถอยทัพประกาศยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข API ใหม่ของ Garmin โดยเพิ่มโลโก้ Garmin ในข้อมูลที่ sync จากนาฬิกา Garmin เพื่อให้ข้อมูลผู้ใช้ยังคงไหลลื่นปกติ และ Strava ยินยอมอัปเดตระบบให้แสดง attribution (เครดิต) ชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน Strava เดินหน้าขยายพันธมิตรสู่หลากหลายกลุ่ม มีทั้งการปรับดีไซน์ใหม่ให้แอปพลิเคชันบน Apple Watch app ที่เร็วและชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็มีบูรณาการกับแว่น Oakley สำหรับนักปั่น รวมถึงมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับนักวิ่งและนักปั่น โดยอีกพันธมิตรล่าสุดของ Strava คือ Airbnb ซึ่งจะเอื้อให้เกิด “ทริปวิ่ง” ที่ผสมผสานการท่องเที่ยวกับกีฬาเข้าด้วยกัน
โยงธุรกิจสู่ชุมชน ไปไกลเกินแอป
บทสรุปของการวิเคราะห์เส้นทางความยิ่งใหญ่ของ Strava ต้องบอกว่านี่คือกรณีศึกษาสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัปยุคใหม่ จากจุดเริ่มที่ความชื่นชอบส่วนตัว แล้วนำใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา (ความเหงาของนักกีฬา) สู่การเติบโตด้วย community ที่แข็งแกร่ง
Strava สามารถพิสูจน์ได้ว่าธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่ขายสินค้า แต่คือการสร้าง “ทีม” ที่ฐานผู้ใช้ที่เป็นนักกีฬา 50 ล้านต่างผลักดันกันเอง ทั้งหมดนี้ทำได้เมื่อมีหัวใจสำคัญที่ทำให้ Strava แตกต่างซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตร ร่วมกับการขยายอาณาจักรและการเข้าซื้อกิจการ
Strava ได้เข้าซื้อกิจการ Runna ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมวิ่งจากลอนดอนเมื่อเมษายน 2025 ซึ่งจะทำให้ Strava มีเทคโนโลยีให้บริการแผนการฝึกส่วนบุคคลสำหรับงานแข่งหรือมาราธอนในอนาคต นอกจากนี้ยังซื้อกิจการ The Breakaway ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมสำหรับนักปั่นจักรยาน ในเดือนพฤษภาคมด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เกิดบนภาพของ Strava ที่เริ่มเปลี่ยนไป ล่าสุดมีโพสต์หนึ่งของผู้ใช้ที่ให้ความเห็นว่า Strava กำลังกลายเป็นเหมือน Instagram ไปแล้ว โดยโพสต์ Reddit ชื่อ “Is Strava going to be Instagram” ที่โพสต์โดยผู้ใช้ Velocybirr เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งได้รับ upvotes กว่า 520 คะแนนและคอมเมนต์ 61 ความเห็น นั้นวิจารณ์บัญชีสมาชิก Strava ที่ใช้ชื่อโรงแรม Westin เพื่อโปรโมตสินค้า สะท้อนความกังวลว่าอาจนำไปสู่การล้นทะลักของโฆษณาและนักกีฬาซึ่งเน้นการส่งเสริมแบรนด์ ทำให้ Strava อาจจะคล้าย Instagram เข้าไปทุกที
คอมเมนต์บางส่วนยังถกเถียงเรื่องวิวัฒนาการของฟีดโซเชียลใน Strava เช่น การแนะนำบัญชีด้วยอัลกอริทึม (suggested accounts) การโฆษณาผ่าน challenges และการปรับฟีด ให้เป็นเชิงพาณิชย์หรือ commercial มากขึ้น ซึ่งแม้จะไม่มีฟีเจอร์แชร์สตอรี่แบบ Instagram Stories โดยตรง แต่ผู้ใช้บางคนก็รู้สึกว่า Strava ว่าเป็น “Instagram สำหรับนักกีฬา” ไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นความท้าทายหรือโอกาส แต่ Strava จะขยายอาณาจักรพัน-หมื่นล้านต่อไปได้อีกแน่นอน
ที่มา : Wikipedia, Business Insider, DC Rainmaker, Reuters






