ย้อนรอย ‘Funko’ อาณาจักรของเล่นพันล้าน ที่อาจ ‘ล่มสลาย’ ภายใน 1 ปี จากปัญหายอดขายดิ่งเหว และหนี้สิน

แม้จะไม่ใช่นักสะสม แต่เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะเคยเห็น Funko Pop! ฟิกเกอร์ไวนิลที่มีหัวขนาดใหญ่ ดวงตาดำกลมโต ไม่มีปาก สายหัวดุ๊กดิ๊ก ๆ ได้ ยิ่งในช่วงที่กระแส POP Culture กำลังเบ่งบาน แบรนด์ Funko ก็ได้เติบโตกลายเป็นอาณาจักรของเล่นพันล้าน แต่ปัจจุบันอาณาจักรดังกล่าวอาจเหลือเวลาเพียงปีเดียวให้กอบกู้ ก่อนที่จะล่มสลายหายไป

ย้อนรอย Funko

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Funko ต้องย้อนไปในปี 1998 ตอนนั้น Mike Becker ที่ทำอาชีพนักออกแบบเสื้อยืด และมีงานอดิเรกเป็นนักสะสมของเล่น แน่นอนว่าปัญหาที่นักสะสมหลายคนเผชิญก็คือ ตามเก็บของเล่นชิ้นที่ต้องการไม่ได้ Mike ก็เจอปัญหานี้เช่นกัน โดยเขาพยายามจะหาซื้อตุ๊กตา Big Boy ซึ่งเป็นมาสคอตของร้านอาหารชื่อดังในสหรัฐฯ

ในเมื่อหาซื้อไม่ได้ ก็ ผลิตเอง มันซะเลย นี่จึงเป็นจุดเริ่มตัวแบรนด์ Funko โดยสินค้าตัวแรกที่ผลิตออกมาก็คือ ตุ๊กตาหัวสั่น (Bobble head) เจ้า Big Boy ภายใต้ไลน์สินค้าชื่อ Wacky Wobblers

แม้ยอดขายเจ้า Big Boy จะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก แต่ Mike ก็ยังคงผลิตสินค้าใหม่ ๆ ออกมา แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ คาแรกเตอร์จากภาพยนตร์ Austin Powers ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ถึง 80,000 ตัว จากนั้นบริษัทก็เริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

Mike Becker

เปลี่ยนมือสู่เจ้าของใหม่

จนกระทั่งในปี 2005 Mike ได้ตัดสินใจขาย บริษัท Funko ให้กับ Brian Mariotti หรือ CEO คนปัจจุบันของบริษัท และการซื้อกิจการครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Funko เพราะในตอนแรกนั้น แบรนด์ Funko ภายใต้การบริหารของ Mariotti ก็ยังไปได้ไม่สวยนัก จนต้องทดลองทำสินค้าใหม่ ๆ ออกมาขาย

จนมาปี 2010-2011 บริษัทได้เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ชื่อ Funko Force 2.0 ภายในงาน San Diego Comic Con โดยสินค้าในไลน์นี้จะมีลักษณะเด่นคือ หัวขนาดใหญ่และดวงตากลม จากนั้นสินค้าก็ดังเป็นพลุแตก จากนั้น บริษัทก็ค่อย ๆ พัฒนา Funko Force 2.0 จนกลายเป็น Funko Pop! หรือ Pop! Vinyl ซึ่งได้กลายเป็นภาพจำและสินค้าหลักของแบรนด์ Funko มาจนทุกวันนี้

Brian Mariotti

ลิขสิทธิ์แบบครอบจักรวาล

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้ Funko ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วนอกเหนือจาก ราคา ที่จับต้องได้ (8-15 ดอลลาร์) แล้วก็คือ การเดินหน้า ทำข้อตกลง ลิขสิทธิ์ กับเกือบทุกแฟรนไชส์ดัง ๆ ในโลกรวมแล้วกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นคาแรกเตอร์จากภาพยนตร์, การ์ตูน, นักกีฬา, ดารา เรียกได้ว่าตอนนั้นอะไรดัง อะไรเป็นกระแส Funko หยิบออกมาลงกล่องขายหมด รวมแล้วบริษัทมีคาแรกเตอร์ให้เลือกมากกว่า 10,000 รูปแบบ เลยทีเดียว

อีกกลยุทธ์ที่ทำเพิ่มความต้องการให้กับสินค้าก็คือ การสร้าง Chase Variants ที่หายากกว่าตัวปกติ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า Limited Edition สำหรับงาน Comic-Con สินค้า Exclusive ของแต่ละร้าน (Target, Walmart ฯลฯ) ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และเกิดความต้องการในหมู่นักสะสม

จนในปี 2017 บริษัทสามารถทำยอดขายถึง 516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 15,000 ล้านบาท และในช่วงปลายปี บริษัทก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ภายใต้สัญลักษณ์ FNKO โดยมูลค่าตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 686 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 23,000 ล้านบาท)

จากรุ่งเรืองสู่รุ่งริ่ง

หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการเติบโตมาเวลาหลายปี แต่ในช่วง 3 ปีหลังมานี้ บริษัทก็ประสบปัญหา ขาดทุน มาโดยตลอด

  • 2017: ยอดขาย 516 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 3.94 ล้าน)
  • 2018: ยอดขาย 680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 7.46 ล้าน)
  • 2019: ยอดขาย 790 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 11.73 ล้าน)
  • 2020: ยอดขาย 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 3.96 ล้าน)
  • 2021: ยอดขาย 1.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (กำไร 43.90 ล้าน)
  • 2022: ยอดขาย 1.32 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 8.04 ล้าน)
  • 2023: ยอดขาย 1.09 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 154.08 ล้าน)
  • 2024: ยอดขาย 1.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขาดทุน 14.72 ล้าน)

จะเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2021 ยอดขายของ Funko ค่อย ๆ ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การผลิตที่มากเกินไป จนสินค้าล้นตลาด นอกจากนี้ ตัวพิเศษที่ออกมามากเกินไป ก็ทำให้ไม่ได้พิเศษเหมือนในอดีต จนในปี 2023 บริษัทเจอปัญหา สต็อกล้น จนถึงขั้นต้อง ทิ้งสินค้า มูลค่ากว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลงหลุมฝังกลบ

อีกปัจจัยก็คือ ความสนใจของผู้บริโภคเริ่มลดลง เพราะต้องยอมรับว่า สินค้าของ Funko นั้นขึ้นอยู่กับ กระแส ของลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ในมือ ถ้าภาพยนตร์หรือการ์ตูนยิ่งดัง ความต้องการยิ่งสูง อย่างเช่นในช่วงที่กระแสภาพยนตร์ในจักรวาลภาพยนตร์ Marvel กำลังได้รับความนิยมสูงสุด ทำให้ฟิกเกอร์ Funko Pop! ขายดีเป็นอย่างมาก แต่ในช่วง 4-5 ปีหลัง แฟรนไชส์ดัง ๆ ก็อยู่ในช่วงขาลงเช่นกัน

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า ต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นค่าลิขสิทธิ์ การผลิต และการขนส่ง ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทมี หนี้สินสะสม โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทรายงานว่ามีหนี้สินถึง 241 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 182.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่รายงานไว้เมื่อสิ้นปี 2024

อาจรอดไม่ถึง 1 ปี

หลังจากที่ราคาหุ้นของบริษัทเคยทำสถิติสูงสุดที่ 27 ดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันเหลือเพียง 2.2 ดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดขายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ลดลง -16% อยู่ที่ 635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขาดทุน 67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทระบุถึงสาเหตุหลักมาจากความต้องการที่ลดลง ภาษีที่สูงขึ้น และการบริหารสินค้าคงคลังของบริษัทผู้ค้าปลีกที่เข้มงวดขึ้น

ทำให้บริษัท ส่งข้อความให้กับผู้ถือหุ้นว่า บริษัทอาจอยู่รอดได้ถึงแค่ 12 เดือนข้างหน้า หากไม่ได้รับเงินทุนใหม่หรือการเข้าซื้อกิจการ เพราะบริษัทอาจผิดสัญญาเงินกู้และผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทได้แก้ไขข้อตกลงสินเชื่อไปแล้วสองครั้งในปี 2025 เพื่อขอผ่อนผันข้อกำหนดทางการเงิน

หลังจากเคยสร้างปรากฏการณ์และครองใจเหล่านักสะสมมานานนับสิบปี กลายเป็นว่า Funko ในตอนนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ที่สุด ณ ตอนนี้ นาฬิกากำลังนับถอยหลังให้กับ Funko ว่าจะสามารถกอบกู้สถานการณ์และหาทางรอดได้ทันภายในปีหน้า หรือจะกลายเป็นเพียงของเล่นในหมู่ความทรงจำของนักสะสม