ปัจจุบันการท่องเที่ยวต่างประเทศถือเป็นการให้รางวัลชีวิตอย่างหนึ่ง บางคนเป็นการเที่ยวเพื่อตอบแทนในการทำงานอย่างหนักมาตลอดทั้งปี หรือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิต ซึ่งการท่องเที่ยวต่างประเทศในยุคนี้ก็สะดวกสบายมากขึ้น สามารถใช้จ่ายได้ทั้งเงินสด และผ่านบัตร Travel Card
ใช้จ่ายข้ามประเทศแบบไร้รอยต่อ
ซึ่งตอนนี้ยิ่งสะดวกมาขึ้นไปอีก เพราะมีนวัตกรรมที่สามารถชำระเงินข้ามพรมแดนแบบเรียลไทม์ เสมือน “สแกนจ่าย” ในประเทศ ล่าสุดธนาคารกสิกรไทย ร่วมกับ บริษัท ออร์บิกซ์ เทคโนโลยี แอนด์ อินโนเวชัน จำกัด (Orbix Technology) และ StraitsX ชั้นโครงสร้างการชำระดุลด้วย Stablecoin สัญชาติสิงคโปร์ ได้ร่วมเปิดตัว “Seamless Travel Payments on Chain” นวัตกรรมการชำระเงินข้ามพรมแดนไทย–สิงคโปร์ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ภายใต้โครงการ BLOOM ซึ่งเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติที่นำโดยธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS)
โดยได้ประกาศความร่วมมือครั้งแรกในงานมหกรรมฟินเทคระดับโลก Singapore FinTech Festival 2025 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นต้นแบบการชำระเงินยุคใหม่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่โปร่งใส และปลอดภัย ด้วยเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-money) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปูทางสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค
การประกาศความร่วมมือครั้งนี้มีผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่
- คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย
- ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
- Mr. Tianwei Liu, Co-Founder & CEO, StraitsX
- ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
- Mr. Leong Sing Chiong, Deputy Managing Director – Markets & Development, MAS
- คุณจิรัชณา บุญธรรม Head of Marketing & Community, Orbix Technology
- Mr. Justin Kim, Head of Asia, Ava Labs
โครงการนี้มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินข้ามพรมแดนยุคใหม่ที่เชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลภายใต้การกำกับดูแลของแต่ละประเทศให้ทำงานร่วมกัน ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชน และสร้างเครือข่ายการชำระเงินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้เป็นหนึ่งเดียว
ดร.กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า
“Seamless Travel Payments on Chain” คือโครงการต้นแบบที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงระบบการชำระเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ปลอดภัย โปร่งใส และตรวจสอบได้ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและสิงคโปร์สามารถจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์เหมือนอยู่ประเทศตัวเอง”
โดยสามารถรองรับการชำระเงินผ่าน QR Code โดยใช้ Regulated E-money คือ Q-money (เงินอิเล็กทรอนิกส์บนบล็อกเชนของธนาคารกสิกรไทย) และ XSGD (สกุลเงินดิจิทัลของสิงคโปร์ที่มีมูลค่าเสถียรของ StraitsX) ในการชำระเงินค่าสินค้าและบริการที่ร้านค้า ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนในการแปลงสกุลเงินระหว่างประเทศได้
โครงการนี้จะแบ่งเป็น 3 เฟสด้วยกัน
เฟส 1 : นักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางไปสิงคโปร์จะสามารถใช้แอปพลิเคชัน Q Wallet by KBank ที่มี Q-money ชำระค่าสินค้า และบริการที่ร้านค้าที่รองรับ GrabPay และบางร้านค้าที่รองรับ PayNow ได้ ด้วยการการสแกน QR Code โดยเงินจะถูกแปลงเป็น XSGD แบบเรียลไทม์ ซึ่งร้านค้าสิงคโปร์จะได้รับเงินเป็น SGD ในทันที ทำให้ประสบการณ์ใช้งานของนักท่องเที่ยวราบรื่นเหมือนกับการสแกนจ่ายเงินในไทย ส่วนร้านค้าจะได้รับยอดชำระทันทีโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว
เฟส 2 : ขยายการใช้งานให้นักท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่มาประเทศไทยสามารถใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลจากประเทศบ้านเกิดของตนที่มี XSGD ชำระเงินผ่านการสแกน QR Code ของร้านค้าในไทยได้โดยตรง ร้านค้าไทยก็จะได้รับเงินบาท โดยไม่ต้องไปแปลงสกุลเงินให้ยุ่งยาก
เทคโนโลยีเบื้องหลังที่ขับเคลื่อนการทำงานของ Q-money ถูกขับเคลื่อนโดย Quarix บล็อกเชนของ Orbix Technologyและยังทำหน้าที่ในการเชื่อมต่อกับระบบของ StraitsX ผ่านเครือข่าย Avalanche ซึ่งเป็นเครือข่ายที่รองรับการทำงานของ XSGD อยู่แล้ว ซึ่งมีความสามารถในการสร้าง Permissioned Custom Chain ให้สอดคล้องกับการกำกับดูแล รวมทั้งมีระบบการควบคุมและความเป็นส่วนตัวที่จำเป็น การทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การชำระเงินระหว่าง Q-money และ XSGD สามารถดำเนินการแบบ Real-time Settlement
เฟส 3 : เพิ่มระบบ Cross-Border KYC Verification เพื่อให้การตรวจสอบ และยืนยันตัวตนผู้ใช้งานระหว่างประเทศมีความปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งสองประเทศ ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานสำคัญของการสร้างระบบการเงินดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันได้อย่างไร้รอยต่อในระดับภูมิภาค
จุดเด่นที่สำคัญของโครงการนี้ที่น่าจะเป็นประโยชน์มากๆ แก่นักท่องเที่ยวก็คือ สามารถชำระเงินระหว่างประเทศได้สะดวก โดยไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีใหม่ในแต่ละประเทศ ช่วยลดความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เพิ่มความโปร่งใสและความปลอดภัยของระบบการเงิน ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ทำให้ทุกธุรกรรมเกิดขึ้นแบบเรียลไทม์
อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และการท่องเที่ยวของภูมิภาค ผ่านการใช้โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เชื่อมโยงกันได้ เพื่อวางรากฐานสู่โครงสร้างพื้นฐานการเงินดิจิทัลระดับภูมิภาค ที่พร้อมรองรับการขยายผลในระดับสากลในอนาคต
ทั้งนี้การดำเนินโครงการในเฟส 1 ได้อยู่ภายใต้การทดสอบใน Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว และมีแผนเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ส่วนเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 เตรียมเข้าสู่กระบวนการขออนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด







