โรงพยาบาลวิมุต เปิดภาพรวมผู้ป่วยปี 2568 ชี้ 5 โรคที่คนไทยเป็นมากที่สุด ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยแวดล้อม ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังผันผวน ค่าครองชีพสูง และการแข่งขันรุนแรงขึ้น สุขภาพกลายเป็นต้นทุนสำคัญที่กำหนดคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพเศรษฐกิจของประเทศ
3 โรคอันดับต้น เกิดจาก พฤติกรรม ที่เปลี่ยนได้
จากข้อมูลผู้ป่วยปี 2568 โรงพยาบาลวิมุตระบุว่า 5 โรคที่มีจำนวนผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- ภาวะไขมันในเลือดสูง
- โรคหวัดและโรคทางเดินหายใจ
- กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม
ที่น่าสนใจคือ 3 อันดับแรกล้วนเป็นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการบริโภคอาหารที่ไม่สมดุล การออกกำลังกายน้อย และความเครียดสะสม โรคเหล่านี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสาธารณสุข แต่ยังเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต ชี้ให้เห็นรากเหง้าของปัญหาว่า “คนเมืองต้องใช้ชีวิตเร่งรีบ ทำงานหลายบทบาท มีเวลาพักผ่อนและดูแลตัวเองน้อยลง ขณะเดียวกันพฤติกรรมการกินยังคงพึ่งพาอาหารสำเร็จรูป อาหารแปรรูป และเครื่องดื่มหวานเป็นหลัก ซึ่งเป็นตัวเร่งสำคัญของโรค NCDs”
กลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรมกลายเป็นโรคอันดับ 5 ที่พบมากที่สุด สะท้อนต้นทุนสุขภาพของแรงงานยุคดิจิทัลที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอวันละหลายชั่วโมงและขาดการเคลื่อนไหว อาการเริ่มต้นมักเป็นเพียงปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่หากละเลย อาจพัฒนาเป็นอาการปวดเรื้อรังที่ส่งผลต่อทั้งคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงาน
พฤติกรรมเสี่ยงที่พบบ่อยในคนไทย ได้แก่
- กินอาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาล เกลือ และไขมันสูง
- ดื่มเครื่องดื่มหวานเป็นประจำ
- ออกกำลังกายน้อยหรือไม่ออกเลย
- นั่งทำงานหน้าจอเป็นเวลานานโดยขาดการเคลื่อนไหว
- มีความเครียดสะสมจากการทำงานและความกดดันทางเศรษฐกิจ
- นอนหลับไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณภาพ

PM2.5 กับโรคทางเดินหายใจ
นอกจากพฤติกรรม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตกสลับร้อน และปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงฤดูหนาว ส่งผลโดยตรงต่อโรคระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ที่ขึ้นสู่อันดับ 4
“สิ่งที่น่ากังวลคือโรคความดันเบาหวานและไขมันในเลือดสูงอาจไม่มีอาการในระยะแรกหรือแสดงเพียงอาการเล็กน้อย หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจคัดกรองอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและค่าใช้จ่ายด้านการรักษาที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต หากพฤติกรรมเหล่านี้ยังไม่เปลี่ยน แนวโน้มในปี 2569 โรคดังกล่าวจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และอาจพบผู้ป่วยในอายุน้อยลง” นพ.สุวาณิช กล่าวทิ้งท้าย




