นมถั่วเหลือง : ตลาดเล็กพริกขี้หนู

นมถั่วเหลืองนับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มจากธัญพืชที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยปัจจัยหนุนเนื่องสำคัญต่อการขยายตัวของตลาดนมถั่วเหลืองคือ กระแสความสนใจในเรื่องการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ และผลงานวิจัยที่ยืนยันถึงการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและมะเร็ง ตลาดนมถั่วเหลืองในประเทศไทยก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยมีนักลงทุนรายใหม่สนใจเข้ามาลงทุนผลิตนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม ทำให้การแข่งขันในตลาดนมถั่วเหลืองในประเทศเริ่มดุเดือดมากขึ้น นอกจากนี้ตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มของไทย คือ ตลาดส่งออกในแถบประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะมาเลเซียและสิงคโปร์

ในตลาดโลกนมถั่วเหลืองจัดเป็นนมประเภทหนึ่งในผลิตภัณฑ์นมทางเลือก(Dairy Alternative) ซึ่งไม่นับรวมนมแพะ โดยตลาดผลิตภัณฑ์นมทางเลือกนั้นนับว่าเป็นตลาดที่มีความสำคัญ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2546 มูลค่าตลาดนมทางเลือกนั้นสูงถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20-25 ต่อปี นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ในช่วงระยะ 5 ปีต่อไปหรือในปี 2549 มูลค่าตลาดนมทางเลือกจะเพิ่มขึ้นไปเป็น 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 16 ต่อปี

ตลาดนมถั่วเหลืองของโลกนั้นมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 85-90 ของมูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์นมทางเลือกทั้งหมด นอกจากนั้นจะเป็นตลาดของน้ำนมข้าว น้ำนมข้าวโอ๊ต น้ำนมอัลมอนด์ ฯลฯ ซึ่งผลิตภัณฑ์นมทางเลือกเหล่านี้ไม่มีการจำหน่ายอย่างกว้างขวางและได้รับความนิยมมากเท่ากับนมถั่วเหลือง เนื่องจากกระแสความนิยมสินค้าเพื่อสุขภาพที่ผลิตจากผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกับธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯยืนยันว่าการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองประมาณ 25 กรัมในแต่ละวันนั้นเป็นการลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง แต่ผู้บริโภคบางคนจะไม่ชอบกลิ่นของผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองบางประเภท จึงหันมาบริโภคนมถั่วเหลือง เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองที่มีกลิ่นของถั่วเหลืองน้อยที่สุด โดยอาศัยเทคโนโลยีทางการผลิต ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้ตลาดนมถั่วเหลืองมีการขยายตัวอย่างมากทั่วทั้งโลก

สหรัฐฯนั้นนับว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของผลิตภัณฑ์นมทางเลือก ในปี 2544 มูลค่าการจำหน่ายนมถั่วเหลืองสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับมูลค่าการจำหน่ายในญี่ปุ่น 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ออสเตรเลีย 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อังกฤษ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในฝรั่งเศส นอกจากนี้ตลาดในแถบเอเชียมีอัตราการบริโภคนมถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดด โดยเฉพาะจีน เนื่องจากปัจจัยหนุนจากสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนในตลาดสิงคโปร์และมาเลเซียอัตราการขยายตัวของตลาดนมถั่วเหลืองสูงถึงร้อยละ 60 ทีเดียว

สำหรับประเทศไทยนั้น ปรากฏว่าตลาดนมถั่วเหลืองนับเป็นตลาดเครื่องดื่มที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูงอย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงระยะ 5 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดนมถั่วเหลืองเริ่มมีสัดส่วนมากขึ้นในตลาดนมพร้อมดื่มทั้งหมด กล่าวคือ ปัจจุบันสัดส่วนนมถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นเป็นเกือบร้อยละ 30 ของมูลค่าตลาดนมพร้อมดื่มทั้งหมด จากที่เคยมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 14 ในปี 2541 คาดว่ามูลค่าตลาดนมถั่วเหลืองในปี 2547 เท่ากับ 5,000 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 10-15 ต่อปี กลุ่มเป้าหมายของตลาดนมถั่วเหลือง คือ ผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพ เนื่องจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ยอมรับนมถั่วเหลืองในฐานะที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กลุ่มเด็กและวัยรุ่น

ปัจจุบันกลุ่มผู้ผลิตนมถั่วเหลืองแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

1.ผู้ผลิตนมถั่วเหลืองประจำวัน หรือน้ำเต้าหู้ที่จำหน่ายผ่านรถเข็นทั่วไป ซึ่งการผลิตนมถั่วเหลืองในลักษณะนี้มีเป็นจำนวนมาก สถานที่จำหน่ายจะเป็นแหล่งชุมชน การผลิตและจำหน่ายจะทำกันแบบวันต่อวัน

2.ผู้ผลิตลักษณะเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ผู้ผลิตกลุ่มนี้จะผลิตในปริมาณที่มากกว่ากลุ่มแรก แล้วบรรจุขวดเพื่อจำหน่ายในย่านชุมชนหรือส่งให้ผู้บริโภคเป็นประจำทุกวัน โดยนมถั่วเหลืองประเภทนี้สามารถจะเก็บในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน

3.ผู้ผลิตในลักษณะอุตสาหกรรมเป็นนมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตที่มีใบอนุญาตผลิตตามกฎเกณฑ์ของกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุข โดยเมื่อกล่าวถึงมูลค่าตลาดนมถั่วเหลืองเป็นการกล่าวถึงเฉพาะมูลค่าตลาดนมถั่วเหลืองในส่วนนี้เท่านั้น

เดิมนั้นการแข่งขันของตลาดนมถั่วเหลืองในประเทศไทยไม่รุนแรงมากนัก แต่หลังจากมีนักลงทุนรายใหม่ทยอยเข้ามาในตลาดทำให้การแข่งขันในตลาดนมถั่วเหลืองมีความคึกคักขึ้น กล่าวคือ เดิมนั้นมีผู้ผลิตและจำหน่ายนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มเพียง 2 รายเท่านั้น คือ “ไวตามิ้ลค์” ของบริษัท กรีนสปอต(ประเทศไทย) จำกัด และ “แลคตาซอย” ของบริษัท แลคตาซอย จำกัด แต่ในปัจจุบันมีผู้ผลิต 5 ราย

นอกจากผู้ผลิตเดิมแล้วยังมีผู้ลงทุนรายใหม่ คือ “โย” ของบริษัท เสริมสุข จำกัด “DNA”ของบริษัท ดัชมิลค์ จำกัด และ “เนสท์เล่ พาสเจอร์ไรส์” ของบริษัท เนสท์เล่ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้ผู้ผลิตและจำหน่ายแต่ละรายมีการปรับกลยุทธ์รับการแข่งขันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด โดยเฉพาะการปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการปรับสูตรการผลิตทั้งที่มีการผสมนมผง ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิม และไม่มีการผสมนมผงเพื่อตอบสนองตลาดผู้บริโภคอาหารมังสวิรัตด้วย ซึ่งนมถั่วเหลืองไม่ผสมนมผงนั้นนอกจากจะเป็นการจับตลาดเป้าหมายผู้ที่เคร่งครัดในการบริโภคอาหารทั้งในลักษณะมังสวิรัตและเจแล้ว ยังสามารถจับเป้าหมายกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการดูแลสุขภาพ และผู้ที่ต้องการรักษารูปร่าง นับว่าเป็นการขยายกลุ่มตลาดเป้าหมายของนมถั่วเหลืองให้กว้างมากยิ่งขึ้น

นอกจากการขยายตัวของตลาดในประเทศแล้ว ตลาดที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายนมถั่วเหลืองสำเร็จรูปของไทย คือ ตลาดส่งออก โดยตลาดนมถั่วเหลืองในภูมิภาคแถบนี้มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตลาดส่งออกที่น่าสนใจคือ มาเลเซียและสิงคโปร์ เนื่องจากไทยนับว่ามีความได้เปรียบในการที่เป็นแหล่งผลิตถั่วเหลือง

อย่างไรก็ตามคาดว่าในอนาคตผู้ผลิตนมถั่วเหลืองนั้นคงต้องเข้าไปส่งเสริมการผลิตถั่วเหลืองในลักษณะตลาดข้อตกลง ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันว่าจะมีผลผลิตป้อนโรงงานอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการถั่วเหลืองทั้งเพื่อการบริโภคโดยตรงและบรรดาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ โดยเฉพาะโรงงานน้ำมันพืช โรงงานผลิตอาหารสัตว์ซึ่งมีความต้องการกากถั่วเหลือง โรงงานผลิตนมถั่วเหลืองชนิดผงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทารกที่แพ้นมโค และโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถควบคุมคุณภาพของผลผลิตได้ โดยเฉพาะปัญหาในเรื่องสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารส่งออก

ตลาดนมถั่วเหลืองยังนับว่าเป็นตลาดเครื่องดื่มธัญพืชที่น่าจับตามอง เนื่องจากคาดการณ์ว่ายังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากผู้บริโภคยังคงให้ความนิยมบริโภคนมถั่วเหลือง ซึ่งนอกจากตลาดในประเทศแล้วตลาดส่งออกก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจอย่างมาก ทำให้คาดว่าในอนาคตโรงงานผู้ผลิตนมถั่วเหลืองพร้อมดื่มต้องเข้าไปลงทุนส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองในลักษณะตลาดข้อตกลง ทั้งนี้เพื่อประกันความสม่ำเสมอของปริมาณและคุณภาพวัตถุดิบถั่วเหลืองที่จะป้อนโรงงาน ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนประการสำคัญที่จะขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ