มาร์เก็ตติ้ง อินเทลลิเจ้นท์ ผู้ผลิตผ้าอ้อมผู้ใหญ่แบรนด์ “อันอัน” พร้อมลงแข่งขันในตลาดผ้าอ้อมเด็ก เตรียมทุ่มงบ 50 ล้านหนุนแบรนด์ “TINO” เต็มสูบ หลังชิมลางตลาดและพัฒนาสินค้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปีก่อน พร้อมชูคุณสมบัติพิเศษซึมซับได้เร็วขึ้นและดีกว่าคู่แข่งถึง 50% ขระที่ราคายังต่ำกว่าถึง 20-30% มั่นใจชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ 10% ภาในกลางปีหน้าจากมูลค่าตลาดรวม 2,500-3,000 ล้านบาท
นายบรรพต พสุธารชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาร์เก็ตติ้ง อินเทลลิเจ้นท์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีภายใต้ยี่ห้อ “อันอัน” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมีแผนที่จะรุกตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กภายใต้แบรนด์ “TINO” อย่างเต็มที่ โดยได้เตรียมงบการตลาดไว้สูงถึง 50 ล้านบาทสำหรับทำการตลาดอย่างครบวงจรในช่วง 12 เดือนจากนี้ไป โดยแบ่งเป็นงบโฆษณาผ่านสื่อประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้มอบหมายให้บริษัท ฟาร์อีสต์ ดีดีบี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง ส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านบาท จะเป็นงบสำหรับทำประชาสัมพันธ์ แจกสินค้าตัวอย่าง ทำไดเร็ค มาร์เก็ตติ้ง พนักงานเชียร์สินค้า ณ จุดขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป รวมถึงทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดในรูปแบบต่างๆ
นายบรรพตกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับทำการตลาด หลังจากที่ได้ทดลองวางสินค้าออกสู่ตลาดไปตั้งแต่ช่วงกลางปี 2546 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะความพร้อมในด้านประสิทธิภาพและคุณภาพของตัวสินค้าที่ได้มีการวิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาตัวสินค้าอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันนี้ผ้าอ้อมเด็กแบรนด์ “TINO” มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเท่ากับแบรนด์ที่ดีที่สุดในตลาดแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังเพิ่มคุณสมบัติพิเศษอื่นๆ ที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดปัจจุบันเพื่อเป็นการเพิ่มและตอกย้ำให้แบรนด์ “TINO” มีความชัดเจนในตลาดและตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย อาทิ ใส่สาร BIO-CHITOSAN เพื่อยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่เป็นที่มาของผดผื่น และป้องกันอาการแพ้ และมีแผ่น AQL สีฟ้า ทำให้ผ้าอ้อมเด็ก “TINO” สามารถซึมซับได้เร็วขึ้นและดีกว่าสินค้าทั่วไปในท้องตลาดได้ถึง 50%
ขณะที่คุณสมบัติอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเมจิกเทปที่สามารถเปิด-ปิดใหม่ได้กี่ครั้งก็ไม่มีปัญหา หรือขอบเอวที่มีความกระชับ พื้นผิวที่ช่วยระบายความร้อน ฯลฯ ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้ต่ำกว่าคู่แข่งที่อยู่ในตลาดระดับเดียวกันถึง 20-30% ดังนั้น จึงมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็ก “TINO” จะเป็ฯทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งของกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน และคาดว่าจากการรุกตลาดอย่างเป็นจริงเป็นจังในปีนี้จะทำให้บริษัทสามารถมีส่วนแบ่งในตลาดผ้าอ้อมเด็กได้ถึงประมาณ 10% จากมูลค่าตลาดรวมประมาณ 2,500-3,000 บาท
“การปรับปรุงและพัฒนาสินค้าของเรานั้นล้วนเป็นผลมาจาการสำรวจ วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ของทีมนักวิจัยของบริษัทที่ได้ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเราต้องการที่จะให้สินค้าของเราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากที่สุด” นายบรรพตกล่าว
นายบรรพตกล่าวต่อไปว่า ก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็ก “TINO” ก็จัดได้ว่าเป็นสินค้าใหม่ที่ได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้บริโภคค่อนข้างดีในระดับหนึ่ง โดยมีส่วนแบ่งในตลาดประมาณ 5% ของตลาดรวม ทั้งๆ ที่ในช่วงแรกนั้นบริษัทยังไม่ได้ทำการตลาดเพื่อสร้างให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ในแบรนด์มากนัก เพียงแต่มีการแจกสินค้าตัวอย่างเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ว่ามีสินค้าแบรนด์ TINO อยู่ในตลาดเท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่า สินค้าตัวนี้เป็นสินค้าที่ผลิตจากเครื่องจักรที่ใช้ เทคโนโลยีสูง
“เรามองว่าตลาดผ้าอ้อมเด็กในปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่าตลาดผ้าอ้อมผู้ใหญ่ถึงกว่าเท่าตัว ในขณะเดียวกันยังเป็นตลาดที่ยังมีศักยภาพและความสามารถที่จะเติบโตได้อีกมาก เพราะพฤติกรมการใช้ผ้าอ้อมสำหรับเด็กสำหรับกลุ่มผู้บริโภคคนไทยยังถือว่ามีสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้บริโภคในประเทศอื่นๆ”
และไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กเท่านั้น บรัทยังได้ผลิตผ้าทำความสะอาดผิวเด็กภายใต้แบรนด์ “TINO” ออกมาทำตลาดอีก 1 ผลิตภัณฑ์ด้วย โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ผ้าทำความสะอาดผิวเด็กนั้นก็ได้ผลิตในคุณสมบัติที่พิเศษกว่าของคู่แข่งที่มีอยู่แล้วในตลาดเช่นเดียวกัน คือ มีความหนากว่าคู่แข่งถึง 50% ขณะที่จำนวนชิ้นบรรจุมีปริมาณที่เท่ากับแบรนด์อื่นๆ ซึ่งก็เป็นอีก ผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ได้รับการตอบรับจากตลาดค่อนข้างดีเช่นกัน
อนึ่ง บริษัท มาร์เก็ตติ้ง อินเทลลิเจ้นท์ กร๊ป จำกัด ได่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 โดยร่วมทุนกับบริษัท ฟู เบิร์ก อินดัสเตรียล แห่งประเทศไต้หวัน ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอ้อม ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสถานประกอบการผลิต 1 แห่ง ซึ่งมีประสบการณ์การผลิตผ้าอ้อมมากว่า 30 ปี ด้วยทุน 150 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 45 ไร้ ในนิคมอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์ไทย อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เปิดดำเนินการผลิตเต็มสมรรถภาพเมื่อต้นปี 2546 และตลอดระยะเวลาการทำงานบริษัทมีเป้าหมายสูงสุดที่จะเพิ่มขีดความสามารถทางด้านการผลิต และมุ่งขยายฐานตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของตลาดและผู้บริโภคอย่างแท้จริง