13 กันยายน 2547 – DE หุ้นน้องใหม่ ของบริษัท ดี อี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการประกอบการธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า “ไดสตาร์” เปิดจองไปเมื่อวันที่ 9-10 กันยายนที่ผ่านมา ขายหมดตั้งแต่วันแรกที่เปิดจอง เตรียมเข้าเทรดในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ในวันศุกร์ที่ 17 กันยายนนี้
นายวัฒน ตรีคันธา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี อี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ “DE” เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯ ได้มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชน (IPO) จำนวน 110 ล้านหุ้น (คิดเป็นร้อยละ 22.92 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วภายหลังการเพิ่มทุน) และได้เปิดให้ประชาชนจองซื้อไปเมื่อวันที่ 9-10 กันยายนที่ผ่านมานั้น โดยเสนอขายให้กับนักลงทุนสถาบัน 33 ล้านหุ้น ให้กับบุคคลทั่วไป 77 ล้านหุ้น โดยกำหนดราคาเสนอขายไว้ที่ 4.30 บาท ปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งนักลงทุนสถาบันและบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก มียอดจองซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่วันแรกที่เปิดให้จอง (9 กันยายน) อันเป็นผลมาจาก การที่บริษัท ทำธุรกิจขายเช่าซื้อสินค้าเฉพาะแบรนด์ ไดสตาร์ ของบริษัทแม่ที่มีโรงงานผลิตสินค้าของตนเอง
โดยราคาสินค้าที่จำหน่ายนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับสินค้าแบรนด์ชั้นนำอื่น ๆ แต่มีคุณภาพทัดเทียมกัน อีกทั้งยังมีศูนย์บริการถึง 77 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้ได้รับความนิยมในการทำเช่าซื้ออย่างมากจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีรายได้ต่อครัวเรือนต่ำและส่วนใหญ่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาล
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในช่วงที่ผ่านมา และต่อเนื่องในอีกระยะ 2-3 ปีข้างหน้าโดยมีปัจจัยผลักดันการเติบโตมาจากขยายสาขาและตัวแทนขายได้อีกมาก เพื่อขยายฐานรายได้จากการขายให้เติบโตขึ้น อีกทั้งยังมีผลตอบแทนจากรายได้ดอกเบี้ยในระดับสูง ส่งผลให้มีความสามารถในการทำกำไรในระดับสูง จากนโยบายการกำหนดราคาสินค้าให้ครอบคลุมความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายในการขายที่เกิดขึ้นก่อนและหลังการขาย รวมถึงการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อในลักษณะคงที่ ภายหลังจากการขายหุ้นเพิ่มทุน (IPO) ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทอยู่ในสภาพปลอดภาระหนี้สิน และลดภาระดอกเบี้ยจ่ายได้ถึง 22 ล้านบาทต่อปี และยังมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ได้ถึง 27 ล้านบาท เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตในระดับสูงของบริษัท
ปัจจุบัน บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท เรียกชำระแล้ว 370 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 370 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยก่อนการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ บริษัทฯได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่กรรมการและพนักงานในราคาตามมูลค่าที่ตราไว้รวม 10 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 2.08 ของทุนจดทะเบียน โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 473 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จาการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ไปใช้เพื่อชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท สำหรับการขยายธุรกิจต่อไป โดยหุ้นของบริษัทจะเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (1st Trading Day) ในวันศุกร์ที่ 17 กันยายน ศกนี้
อนึ่ง บริษัท ดี อี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจขายเช่าซื้อสินค้ายี่ห้อ “ไดสตาร์” ประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องใช้สำนักงาน รถจักรยานยนต์ และอื่นๆ พร้อมบริการก่อนและหลังการขายถึงบ้าน อาทิ บริการจัดส่งสินค้า ตรวจสอบข้อมูลผู้ขอเช่าซื้อ และเก็บค่างวดเช่าซื้อ ให้แก่กลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่างที่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลในจังหวัดต่างๆ โดยซื้อสินค้าจากผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเพียงรายเดียว คือ บมจ. ไดสตาร์ อิเลคทริก คอร์เปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯในสัดส่วนร้อยละ 28.22 เพื่อนำมาขายเช่าซื้อให้แก่ผู้บริโภคด้วยนโยบายการขายเข่าซื้อแบบเข้าถึงตัวลูกค้า ผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย 2 รูปแบบ คือ 1) การขายเช่าซื้อผ่านสาขา ซึ่งพนักงานบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการขายเช่าซื้อให้แก่ผู้บริโภค และ 2) การขายเช่าซื้อผ่านตัวแทนขายเช่าซื้อ โดยบริษัทจะขายเช่าซื้อให้แก่ตัวแทนฯ และให้สิทธิในการนำสินค้าไปจำหน่ายต่อทั้งในรูปแบบการขายสดและเช่าซื้อ ทั้งนี้ ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าและบริการในราคาและรูปแบบเดียวกันทั้งจากสาขาและตัวแทนฯ ณ 30 มิถุนายน 2547 กลุ่มบริษัทฯมีสาขาและตัวแทนฯ 70 แห่งและ 329 รายใน 74 จังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
บริษัทฯ มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ในการเป็นหนึ่งในผู้นำในภาคธุรกิจขายเช่าซื้อภายในประเทศ รวมถึงรักษาสถานะผู้นำการขายเช่าซื้อด้วยยอดขายอันดับ 1 ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมีแผนการพัฒนาการขายเช่าซื้อในระบบอื่น ๆ นอกเหนือจากระบบการขายเช่าซื้อผ่านสาขาและผ่านตัวแทนฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการขยายพื้นที่การขายสู่ภูมิภาคอื่น ๆ เพื่อให้มีเครือข่ายสาขาและตัวแทนฯ ที่ครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายการขยายสาขาจำนวน 70 สาขา รวมเป็น 150 สาขาในปี 2550 และขยายเครือข่ายตัวแทนขายเช่าซื้อจาก 329 ราย เป็น 600 รายนอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายการดำเนินธุรกิจด้านการบริหารบัญชีลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ที่มีปัญหา (Distressed Assets Management) ของสถาบันการเงินซึ่งได้ปิดดำเนินกิจการไปในปี 2540 โดยปัจจุบันได้ประมูลซื้อสิทธิเรียกร้องลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์ จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูระบบสถาบันการเงินเพื่อนำมาบริหารการเก็บเงินจำนวนรวม 1,199 ราย อีกทั้งกำลังอยู่ในขั้นตอนการประมูลซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มเติม