ฤดูร้อนปีไก่ : กระตุ้นยอดใช้ไฟฟ้าสูงสุด…ทะลุ 20,000 เมกะวัตต์

ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปี สภาพอากาศจะมีความร้อนอบอ้าวมากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดือนอื่นๆของปีโดยจะมีอุณหภูมิในช่วง 39-43 องศาเซลเซียส ซึ่งในปี 2548 นี้ก็เช่นเดียวกันที่สภาวะอากาศทวีความร้อนอบอ้าวมากขึ้น โดยอุณหภูมิความร้อน ในวันที่ร้อนที่สุดก็จะพุ่งขึ้นสูงกว่าในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 1-2 องศาเซลเซียส ทำให้ความต้องการไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อนปีไก่2548ก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อน

ทั้งนี้ หากพิจารณาสถิติล่าสุดของการใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ในช่วงเดือนมีนาคม 2548 นี้ อันเป็นช่วงที่เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างแท้จริงนั้นก็ปรากฏว่าในวันที่ 29 มีนาคม 2548 ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศได้ทะลุ 20,000 เมกะวัตต์แล้วโดยมีค่าเท่ากับ 20,221.50 เมกะวัตต์ทำลายสถิติความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2547 ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 19,325.80 เมกะวัตต์เพิ่มขึ้น 4.6%

ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากดังกล่าวก็เพราะสภาวะอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากในช่วงหน้าร้อนปีนี้ ส่งผลให้ระดับอุณหภูมิสูงสุดในหลายจังหวัดสูงถึงระดับ 39-41 องศาเซลเซียส ขณะที่กรุงเทพมหานครในบางวันสูงถึง 37.7 องศาเซลเซียส แต่ช่วงที่ร้อนอบอ้าวของกทม.จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ระดับ 37.4 องศาเซลเซียส ซึ่งก็มีผลให้ประชาชนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ทำความเย็นต่างๆ ทั้งที่เป็นเครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น-ตู้แช่เพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงภาวะอากาศปกติ นอกจากนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นช่วงเทศกาลเช็งเม้ง ช่วงวันหยุดยาวต่อเนื่องในวันสงกรานต์ และเป็นช่วงปิดภาคเรียนของบรรดานักเรียน นิสิต/นักศึกษาของทุกสถาบันทั่วประเทศพร้อมๆกัน ทั้งยังมีนักเรียนอีกจำนวนมากต้องเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในชั้นที่สูงขึ้น มีการเรียนกวดวิชากันมาก ทำให้ต้องอยู่ในชั้นเรียนและที่พักอาศัยดูตำรับตำราเตรียมตัวสอบต่อ จึงส่งผลให้ความต้องการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆทั้งที่เป็นเคื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น/ตู้แช่ และเครื่องทำความเย็นอื่นๆเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปกติอย่างมาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดหมายว่าในช่วงที่อากาศร้อนอบอ้าวมากที่สุดในเดือนเมาายนต่อเนื่องไปสู่เดือนพฤษภาคม 2548 นี้ จะส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2547 อาจสูงถึงระดับ 20,500-21,000 เมกะวัตต์ ซึ่งก็จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 6% เนื่องจากปีนี้ได้เกิดภาวะภัยแล้งแผ่ขยายวงกว้างกระจายครอบคลุมพื้นที่จังหวัดต่างๆถึง 71 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคกลาง ขณะที่ฝนก็ไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงยิ่งส่งผลให้อุณหภูมิความร้อนทวีสูงขึ้นไปได้อีกในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2548 ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดหมายอุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤษภาคม 2548 ที่คาดว่าอุณหภูมิจะสูงถึง 40-43 องศาเซลเซียส แต่ในอดีตที่ผ่านมาอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ระดับ 44.5 องศาเซลเซียสที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2503

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงฤดูร้อนของปีไก่ 2548 นี้ จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 6% แต่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการจ่ายกระแสไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ที่ต้องป้อนกระแสไฟฟ้าให้แก่ทั้งการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.)แต่ประการใด เนื่องจากผู้บริหารสูงสุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2548 แล้วว่าทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เตรียมกำลังสำรองไฟฟ้าไว้เกินกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในขณะนี้ถึง 20% ดังนั้น ประชาชนจึงไม่ต้องกังวลเรื่องไฟฟ้าตก-ไฟฟ้าดับในช่วงฤดูร้อนปีนี้

ในช่วงหน้าร้อนของทุกปีความต้องการใช้เครื่องไฟฟ้าที่ช่วยทำความเย็นประเภทต่างๆ ทั้งเครื่องปรับอากาศ พัดลม และตู้เย็น ต่างก็ได้รับอานิสงส์โดยถ้วนหน้า ส่งผลให้ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติถึง 10-20% โดยที่ยอดขายเครื่องปรับอากาศช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2548 นี้ คาดว่าจะมีจำนวน 162,200 เครื่อง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีจำนวน 134,603 เครื่อง หรือเพิ่มขึ้น 20.5% ในขณะที่ยอดขายตู้เย็นในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2548 คาดว่าจะมีจำนวน 353,100 เครื่อง เพิ่มขึ้น 15%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีจำนวน 307,136 เครื่อง ส่วนพัดลมนั้นในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2548 คาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 10% โดยมีปริมาณ 468,600 เครื่อง เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 426,000 เครื่อง ซึ่งก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นจะต้องรีบเร่งฉกฉวยช่วงจังหวะเหมาะนี้เร่งกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น จากที่คาดว่าภัยแล้งปีนี้จะกินเวลายาวนานกว่าทุกปี ทำให้สภาพอากาศโดยทั่วไปจะร้อนอบอ้าวมาก เป็นผลดีต่อการกระตุ้นยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภททำความเย็นได้เป็นอย่างดี

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีข้อแนะนำสำหรับประชาชนที่มีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆทั้งที่เป็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม และตูเย็นที่จะต้องเพิ่มการใช้งานอย่างหนักในช่วงฤดูร้อนของปีไก่ 2548 เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดการประหยัดการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ดังนี้

• เครื่องปรับอากาศ มีข้อควรปฏิบัติเพื่อการประหยัดไฟฟ้า ดังนี้

1.ก่อนเปิดเครื่องปรับอากาศ ควรจะเปิดประตู-หน้าต่างเพื่อระบายความร้อนภายในห้องประมาณ30 นาทีเป็นอย่างน้อย เพราะการเปิดเครื่องปรับอากาศทันทีในห้องที่ปิดทิ้งไว้โดยไม่มีการระบายความร้อนภายในห้องออกก่อนจะทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าเพิ่มขึ้น3-5%

2.การเปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้ง ควรตั้งอุณหภูมิไว้ที่ระดับ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่ประหยัดไฟฟ้ามากที่สุดและยังเป็นระดับที่จะทำให้ความเย็นภายในห้องอยู่ในระดับที่เย็นสบายพอเหมาะ การปรับอูณหภูมิเครื่องปรับอากาศลดลงไปทุกๆ 1 องศาจะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10 %เป็นอย่างน้อย

3.หากมีความจำเป็นต้องออกจากห้องไปเป็นเวลานาน ก็ควรปิดเครื่องปรับอากาศทันที เพราะทุกๆ 1 ชั่วโมงที่เปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้เพียงสัปดาห์ละครั้ง เท่ากับต้องเพิ่มรายจ่ายค่าไฟฟ้าจากเดิมอีกไม่ต่ำกว่า 5%ต่อรอบบิล 1 เดือน

4.หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรอง-หน้ากากเครื่องปรับอากาศ และคอมเพรสเซอร์อย่างน้อยเดือนละครั้งสำหรับบ้าน/อาคารที่อยู่ติดถนนใหญ่ และ 2 เดือนต่อครั้งสำหรับบ้านที่อยู่ห่างจากถนนใหญ่ หรือตามหมู่บ้านจัดสรรทั่วๆไปที่อยู่ในซอยลึกเข้าไป

5.ภายในห้องที่มีการเปิดเครื่องปรับอากาศ ไม่ควรเปิดไฟที่มีแสงสว่างเจิดจ้า เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มระดับอุณหภูมิภายในห้อง ทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า อีกทั้งยังจะต้องหมั่นตรวจตราดูว่าไม่มีรอยรั่วซึมตามหน้าต่าง-ประตู ฝ้า-เพดาน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นภายในห้องเล็ดลอดออกไปนอกห้องอันจะทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักและสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้าไปโดยใช่เหตุ

6.ลด/หลีกเลี่ยงการเก็บสิ่งของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานไว้ในห้องนอน/ห้องที่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศอยู่เป็นประจำ เพราะจะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า

7.สำหรับผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อเครื่องปรับอากาศ ขอแนะนำให้เลือกเครื่องปรับอากาศที่ผ่านการพิจารณามาตรฐานผลิตภัณฑ์ และได้รับการรับรองจากหน่วยงานของทางราชการว่าประหยัดไฟฟ้าเท่านั้น อย่าซื้อเครื่องปรับอากาศราคาถูกตามคำโฆษณา และไม่ผ่านการรับรองจากทางการจะเป็นการดีที่สุด

• พัดลม มีข้อควรปฏิบัติเพื่อการประหยัดไฟฟ้า ดังนี้

1.ถ้าสภาพอากาศไม่ร้อนจัดจนเกินไป ขอแนะนำให้เปิดพัดลมแทนการ เปิดเครื่องปรับอากาศซึ่งก็จะช่วยให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากถึง60-70%หากเปิดในระยะเวลานานเท่ากัน

2.ควรเปิดหน้าต่างบ้านพักอาศัยให้มากที่สุด เพื่อระบายความร้อนภายในห้องออกไปจากการเปิดพัดลม และควรเปิดพัดลมหมุนส่ายไป-มารอบๆห้องตลอดเวลาเพื่อให้ความเย็นกระจายไปทั่วห้อง

3.หมั่นทำความสะอาดพัดลมอย่างสม่ำเสมอ เพราะพัดลมที่ไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานานจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปกติดอยู่ที่ใบพัด ทำให้รอบการหมุนของใบพัดช้าลง เนื่องจากใบพัดมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้ามาก

4.สำหรับผู้ที่ซื้อพัดลมใหม่ขอแนะนำให้เลือกซื้อพัดลมที่มีตรามาตรฐานรับรองจากหน่วยงานของทางราชการแล้วเท่านั้น อย่าซื้อพัดลมราคาถูกๆ เพราะนอกจากจะกินไฟมากแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ง่ายหากใช้งานเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ

• ตู้เย็น มีข้อแนะนำเพื่อการประหยัดค่าไฟฟ้า ดังนี้

1.อย่าเปิด-ปิดตู้เย็นบ่อยๆ อย่านำของร้อนเข้าแช่ในตูเย็น เพราะตู้เย็นต้องทำงานหนัก สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น การติดตั้งตู้เย็นก็ควรให้ห่างจากผนังห้องอย่างน้อย 15 เซนติเมตร

2.หมั่นทำความสะอาดภายในตู้เย็นและแผ่นระบายความร้อนหลังตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังจะต้องหมั่นตรวจตราจุดรั่วซึมต่างๆ เช่น ขอบยางรอบประตูว่าเสื่อมสภาพหรือหมดอายุหรือยัง ถ้าหมดอายุต้องรีบเปลี่ยนทันที

3.ควรหมั่นละลายน้ำแข็งในตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้น้ำแข็งเกาะจับหนาจนเกินไป เพราะจะทำให้คอมเพรสเซอร์และมอเตอร์ทำงานหนัก ส่งผลให้ตู้เย็นกินไฟมากกว่าปกติ

4.ตั้งสวิทช์ควบคุมอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้เหมาะสม อย่าตั้งอุณหภูมิให้เย็นจัดจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำแข็งเกาะติดมากต้องล้างบ่อย ทำให้สิ้นเปลืองค่าไฟแต่ถ้าตั้งอุณหภูมิไม่เย็นเพียงพอ อาหารในตู้เย็นก็จะเสียเร็วและเกิดเชื้อราได้ง่าย ดังนั้นจึงควรปรับระดับอุณหภูมิภายในตู้เย็นให้เหมาะสมกับอาหารที่แช่ไว้ในตู้เย็นและไม่ควรปรับระดับอุณหภูมิภายในตู้เย็นบ่อยเกินไปเพราะจะทำให้ตู้เย็นเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดที่ควรจะเป็น

5.เลือกซื้อตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดของครัวเรือน อย่าใช้ตู้เย็นขนาดใหญ่เกินความจำเป็น เพราะจะกินไฟมากทำให้ต้องแบกรับภาระค่าไฟเกินความจำเป็น นอกจากนี้ ยังควรเลือกซื้อตู้เย็นแบบประตูเดียวมากกว่าที่จะซื้อตู้เย็นแบบ 2 ประตู เนื่องจากตู้เย็น 2 ประตูในขนาดที่เท่ากันจะกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวถึ15-25% นอกจากนั้นแล้วยังจะต้องเลือกซื้อตู้เย็นที่ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และควรตรวจดูฉลากแสดงประสิทธิภาพให้มั่นใจก่อนตัดสินใจซื้ออีกด้วย