ธุรกิจรักษาความปลอดภัย : ปีไก่2548… มูลค่าธุรกิจโต 30%

ธุรกิจรักษาความปลอดภัยปีไก่2548ส่อแววรุ่ง คาดว่ามูลค่าธุรกิจโตสวนกระแสเศรษฐกิจในระดับของการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30 %จากปีก่อน ภายหลังเกิดเหตุการณ์ร้ายอย่างต่อเนื่องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้-บอมบ์หาดใหญ่ ทำให้องค์กรธุรกิจทั้งขนาดใหญ่-กลาง-เล็กต่างต้องเพิ่มระดับความเข้มของการรักษาความปลอดภัยอาคาร สถานที่ทำงาน รวมทั้งทรัพย์สินภายในอาคารและสำนักงานมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ

รวมทั้งยัง จะต้องมีการเพิ่มจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยเพื่อเฝ้าเวรยามเพิ่มขึ้น จึงยิ่งส่งผลให้ธุรกิจรักษาความปลอดภัยเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก คาดว่าในปี2548นี้ธุรกิจรักษาความปลอดภัยจะมีมูลค่าตลาดสูงถึง20,000ล้านบาทเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า30%จากระดับ 15,000 ล้านบาทในปี 2547ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเฉลี่ยการเติบโตของมูลค่าตลาดธุรกิจนี้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15%ต่อปี

สำหรับการจัดประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาซญากรรมและความยุติธรรมทางอาญาครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 18-25 เมษายน 2548 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งนี้ ทางการเองก็ได้จัดวางระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มที่ เทียบเท่ากับการจัดระบบรักษาความปลอดภัยเมื่อคราวที่มีการจัดประชุมเอเปกเมื่อเดือนตุลาคม 2546 เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่มีจำนวนมากถึงกว่า 4,000 คน โดยได้จัดวางกำลังตำรวจท้องที่กระจายออกไปดูแลความเรียบร้อยตามโรงแรมที่พักจำนวน 22 แห่งในกรุงเทพฯ รวมทั้งการดูแลผู้เข้าร่วมประชุมที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อย่างเข้มแข็ง มีการติดตั้งเครื่องเอ็กซเรย์อาวุธและวัตถุระเบิดตรงทางเข้า-ออกและโดยรอบศูนย์ประชุม การจัดวางกำลังตำรวจและเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรอบพื้นที่ทั้งชั้นใน และชั้นนอกบริเวณที่มีการจัดประชุมอย่างเข้มงวดกวดขันไปพร้อมๆกันด้วย
จากแขกยาม…สู่ธุรกิจรักษาความปลอดภัย

ธุรกิจรักษาความปลอดภัยในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างเป็นล่ำเป็นสันในระยะเวลาเพียง 10 ปีที่ผ่านมานี้ โดยก่อนหน้านี้การรักษาความปลอดภัยของไทยมักจะใช้บุคคลที่มีร่างกายกำยำ-ล่ำสัน-น่าเกรงขามมาเป็นคนเฝ้าเวรยามหรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นคนเฝ้า”ยาม”และยามในอดีตก็จะเป็นชาวอินเดียเสียเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีอดีตทหารและตำรวจนอกราชการมาเป็นยามบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นชาวอินเดียเพราะชาวอินเดียเป็นชนชาติที่มีความอดทนสูง ค่าแรงถูก อีกทั้งยังมีร่างกายกำยำล่ำสัน ผิวคล้ำ หน้าตา-ท่าทางดูน่าเกรงขามมากกว่าคนไทยและคนชาติอื่นมาก

แต่ในระยะหลังมานี้ก็มีคนไทยเข้ามาประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัยที่เน้นการจ้างแรงงานคนไทย และแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เนื่องจากแขกยามที่เป็นชาวอินเดียหายากขึ้น และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็ใช่ว่าจะใช้แต่ผู้ชายเท่านั้น แต่มีการจ้างพนักงานหญิงมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยได้พัฒนาไปจากในสมัยก่อนมาก เช่น เจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจตราที่อยู่หน้าจอทีวีวงจรปิด(CCTV)ก็ใช้ผู้หญิงมาทำหน้าที่นี้ รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าลิฟท์ก็สามารถใช้ผู้หญิงได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อลดความรู้สึกที่แข็งกร้าวลง แต่ยังคงความเข้มข้นของระบบรักษาความปลอดภัยไว้เช่นเดิม

สำหรับลักษณะการให้บริการของธุรกิจรักษาความปลอดภัยนั้น นอกจากจะให้บริการรักษาความปลอดภัยสถานที่ต่างๆแล้ว ยังให้บริการรักษาความปลอดภัยด้านอื่นๆด้วย ได้แก่ รักษาความปลอดภัยให้กับบุคคล ให้บริการรถนิรภัยสำหรับขนเงินสด และของมีค่าต่างๆ รักษาความปลอดภัยในการเบิกจ่ายเงินเดือนพนักงานตามบริษัทต่างๆ รักษาความปลอดภัยในการเก็บเงินสดตามจุดต่างๆของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รักษาความปลอดภัยสิ่งของมีค่าที่นำมาแสดงในงานนิทรรศการ รับ-ส่งเอกสารสำคัญและต้องการความปลอดภัยมาก วางแผนและจัดระบบรักษาความปลอดภัยในสถานที่โดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ บริการสืบสวนและสอบสวนในกรณีเกิดอัคคีภัยและ/หรือภัยภิบัติต่างๆ และบริการสืบสวน-ติดตามพฤติกรรมบุคคล เป็นต้น

ธุรกิจรักษาความปลอดภัยนั้นได้เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยและเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน ดังจะเห็นได้ว่าสถานที่ราชการ/รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งหน่วยงานของภาคธุรกิจเอกชนเป็นจำนวนมากได้หันมาใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยแทนการมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของตนเอง ซึ่งการใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยนั้น สามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการจัดหาบุคคลากรในระยะยาวได้ เนื่องจากพนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเวรยาม ทำให้มีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงมาก และยังจะต้องรับผิดชอบในเรื่องของสวัสดิการด้านต่างๆอีกมากในกรณีที่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทเอง

ตลาดธุรกิจรักษาความปลอดภัย…การแข่งขันเข้มข้น

ธุรกิจรักษาความปลอดภัยนั้นมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นโดยทั่วไปที่มักจะเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีจนก่อให้เกิดมิจฉาชีพหรือโจรผู้ร้ายชุกชุม หรือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นมา เช่น เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเกิดระเบิดที่หาดใหญ่ ทำให้ทางการต้องเพิ่มความระมัดระวังป้องกันภัยอย่างเข้มข้นมากขึ้นในจุดที่มีความสำคัญทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สนามบิน สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า สถานีรถบริการขนส่งสาธารณะต่างๆ โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี ฯลฯ

ขณะที่องค์กรธุรกิจเอกชนต่างก็ตื่นตัวเตรียมการป้องกันด้วยการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.)มากขึ้นกว่าปกติ มีการติดตั้ง”ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด”(Closed Circuit Television System : CCTV )เพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม ขณะที่ธุรกิจที่ไม่เคยติดตั้งระบบ CCTV มาก่อนก็จะเริ่มติดตั้งในช่วงนี้กันอย่างกว้างขวาง ส่งผลให้ยอดขายเครื่องมือและอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยได้รับอานิสงส์อย่างเป็นกอบเป็นกำทั้งกล้อง CCTV เครื่องมือตรวจจับวัตถุระเบิดแบบที่ใช้ตามท่าอากาศยาน เครื่องสแกนตรวจค้นตัว ระบบสัญญาณอัตโนมัติที่ทำงานคู่กับระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด(CCTV) ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบสัญญาณแจ้งภัยแบบไร้สาย ระบบตรวจจับอาวุธโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ระบบควบคุมการเข้า-ออกประตู ประตูนิรภัยอัตโนมัติที่จะล็อกปิดทันทีเมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้น ระบบสัญญาณแจ้งภัยโดยบุคคล ฯลฯ

สำหรับกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของธุรกิจรักษาความปลอดภัยในปัจจุบัน ก็จะประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ โรงแรม สถานทูตต่างๆ โรงงาน อุตสาหกรรม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี ฯลฯ อาคารสำนักงานต่างๆ คอนโดมิเนียมและอพาร์ทเม้นท์ระดับหรู หมู่บ้านจัดสรรต่างๆ ห้างสรรพสินค้า มินิมาร์ทตามสถานีบริการน้ำมัน ร้านขายทองร้านขายอัญมณีและเครื่องประดับ อาคารที่ให้บริการเช่าพื้นที่จอดรถยนต์ โรงภาพยนตร์ โรงพยาบาลทั้งของภาคเอกชน และของภาครัฐ หน่วยงานทางราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดธุรกิจรักษาความปลอดภัยก็มีการแข่งขันกันสูงมาก เพราะมีจำนวนผู้ประกอบการมากถึงเกือบ 3,000 รายในปัจจุบัน โดยเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ที่จ้างพนักงานเกินกว่า 1,000 คน ประมาณเกือบ 20 แห่ง ขณะที่บริษัทรักษาความปลอดภัยขนาดกลางที่มีพนักงาน 500-1,000 คน จำนวน 1,500 แห่ง ที่เหลือนอกนั้นจะเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยประมาณ 100-500 คน ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจรักษาความปลอดภัยทั้งระบบจะมีการจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยรวมกันถึงประมาณ 400,000 คน สำหรับอัตราค่าจ้างรปภ.นั้น ในช่วง 5 ปีก่อนจะอยู่ที่อัตราระหว่าง3,000-7,000 บาท/คน(ต่อกะละ 12 ชั่วโมง) แต่ในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 5,000-12,000 บาท/คน(ต่อกะละ 12 ชั่วโมง)

บทสรุป

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ภัยก่อการร้ายจากความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการวางระเบิดที่หาดใหญ่ในช่วง ที่ผ่านมา ซึ่งทางการเองก็ได้เฝ้าระวังป้องกันภัยและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ทำให้สถานการณ์ไม่ลุกลามบานปลายออกไป แต่ในส่วนขององค์กรธุรกิจเอกชนต่างๆนั้นก็ได้เพิ่มความระมัดระวังและการวางมาตรการป้องกันที่มีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าภาวะปกติ การมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี มีประสิทธิภาพสูง มีการใช้เครื่องมือ-อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แม้จะต้องลงทุนสูงขึ้นบ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์ที่มีความเสี่ยง ก็น่าจะเกิดผลดีต่อการดำเนินธุรกิจที่มีความปลอดภัยมากขึ้น

สำหรับในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจรักษาความปลอดภัยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า ผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ก็จะต้องปรับตัวฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของตนแบบเข้มข้นเพื่อให้พร้อมรับมือกับภัยร้ายต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังในด้านการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นกว่าปกติเป็นทวีคูณ เพราะการรักษาความปลอดภัยที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงนั้น หัวใจของการบริการอยู่ที่จะต้องป้องกันภัยไม่ให้เกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้น หากมีการวางแผนที่ดีร่วมกันระหว่างเจ้าของกิจการที่ใช้บริการ บริษัทที่ให้บริการรักษาความปลอดภัย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ของทางการที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือประชาชนในทุกๆส่วนของประเทศก็จะต้องช่วยกันสอดส่องดูแลพฤติกรรมของผู้ไม่หวังดี และรวมทั้งหากมีเหตุการณ์ที่ผิดปกติหรือต้องสงสัยก็จะต้องรีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยทันที ก็จะช่วยให้งานรักษาความปลอดภัยในทุกๆส่วนของประเทศมีประสิทธิภาพสูงมากเพียงพอที่จะป้องกันภัยได้อย่างเต็มที่ และไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายใดๆในระยะต่อๆไปที่ภัยความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังไม่คลี่คลายดีขึ้นมากนัก ประชาชนทุกส่วนของสังคมก็จะต้องให้ความร่วมมือกับทางการในการระวังป้องกันและร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อความผาสุกของคนไทยโดยถ้วนทั่วกันนั่นเอง