เงินดอลลาร์สหรัฐฯมีค่าเข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินตราสำคัญสกุลต่างๆ โดยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 1.27-1.28 ดอลลาร์/ยูโร และ 105-106 เยน/ดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนเงินดอลลาร์ ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สดใส ส่งผลให้ตลาดเงินคาดว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกัน เงินเยนญี่ปุ่นกลับอ่อนแรงลง เนื่องจากทางการจีนไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นเกี่ยวกับการปรับค่าเงินหยวน ส่วนเงินปอนด์สเตอร์ลิงอังกฤษ มีค่าโน้มต่ำลงเป็นลำดับ หลังจากที่นายกรัฐมนตรี Tony Blair ได้นั่งเก้าอี้ผู้นำเป็นสมัยที่ 3 ด้วยคะแนนเสียงที่ลดน้อยลงกว่าสองสมัยที่ผ่านมา สำหรับทองคำในตลาดต่างประเทศ ซื้อขายอยู่ในราคาเฉลี่ยราว 425-428 ดอลลาร์/ออนซ์
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าฟู่ฟ่า โดยกลับมาเป็นขวัญใจของนักลงทุนอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯตัดสินใจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นหนที่ 8 ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะขยับสูงขึ้นอีก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในรอบสัปดาห์นี้อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจอย่างมาก ได้แก่
• ตัวเลขการจ้างงานใหม่เดือนเมษายนเพิ่ม 274,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และยังมีการปรับเพิ่มตัวเลขในช่วงเดือนก่อนหน้าอีกด้วย ทำให้สถานการณ์ตลาดแรงงานสหรัฐฯค่อนข้างเข้มแข็ง ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของธุรกิจอเมริกันลง
• รายงานยอดขาดดุลการค้าสหรัฐฯเดือนมีนาคมมีมูลค่า 54.99 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่ายอดขาดดุลเดือนกุมภาพันธ์ที่มีมูลค่า 60.57 พันล้านดอลลาร์ ทั้งยอดการส่งออกเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 1.5% ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 2.5% นอกจากนี้ สหรัฐฯยังมีตัวเลขยอดงบประมาณเดือนเมษายนเกินดุล นับเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดเงินลดความหวาดกลัวเกี่ยวกับ “twin deficits” ซึ่งเคยทำให้ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงอย่างหนักมาแล้ว
• ยอดค้าปลีกเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้า เทียบกับเดือนมีนาคมที่ขยับขึ้นเพียง 0.4% สะท้อนว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงมีกำลังซื้อสูง และน่าจะเป็นพลังขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจสหรัฐฯต่อไป
เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น เงินดอลลาร์มีค่ากระเตื้องสูงขึ้นเช่นกัน ถึงแม้ในช่วงก่อนหน้านี้ ได้มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการที่ทางการจีนอาจปรับค่าเงินหยวนให้ยืดหยุ่น ซึ่งจะมีผลให้ค่าเงินหยวนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ค่าเงินเอเชียพลอยแข็งขึ้นตามไปด้วย เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ แต่ในสัปดาห์นี้ ปรากฏว่าทางการจีนได้แสดงท่าทีว่าอาจยังไม่ปรับค่าเงินหยวนในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะมีรายงานวิจัยชี้ว่าหากเงินหยวนแข็งขึ้น 3-5% อาจทำให้การส่งออกจีนเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10% ซึ่งนับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับยอดการส่งออกในปี 2547 ที่ขยายตัวถึง 35.4% ทำให้ตลาดเงินคาดว่าทางการจีนคงไม่ยอมให้การส่งออกของประเทศอ่อนแรงลงอย่างแน่นอน ดังนั้น การปรับเงินหยวนให้ยืดหยุ่นคงต้องใช้เวลาศึกษาผลกระทบและมีมาตรการตั้งรับอีกระยะหนึ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในช่วงกลางสัปดาห์ มีรายงานข่าวผ่านเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ชั้นนำของจีนที่ว่าทางการจีนเตรียมขยายช่วงเคลื่อนไหวอัตราเงินหยวนอีก 1.26% ภายในหนึ่งเดือนนี้ และเพิ่มอีก 6.03% ภายในหนึ่งปี แต่อย่างไรก็ตาม รองผู้ว่าการแบงก์ชาติจีนได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว และได้มีการเอารายงานข่าวออกจากเว็บไซต์
เงินปอนด์อังกฤษ ได้รับแรงกดดันเป็นลำดับ จากตัวเลขเศรษฐกิจหลายรายการที่ค่อนข้างอึมครึม อาทิ ตัวเลขด้านอสังหาริมทรัพย์ ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมการผลิต และรายงานธนาคารกลางอังกฤษที่คาดว่าอัตราการเติบโตอาจลดลง ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้ตลาดเงินเก็งว่าธนาคารกลางอังกฤษอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย แทนที่จะพิจารณาเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตามที่เคยคาดกันไว้ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอังกฤษอยู่ที่ระดับ 4.75% นอกจากนี้ เงินปอนด์มีค่าลดลงอีกผ่านแนวต้าน 1.87 ดอลลาร์/ปอนด์ ในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ราคาทองคำในตลาดต่างประเทศ ค่อนข้างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนหันไปถือสกุลเงินดอลลาร์มากขึ้น และชะลอการซื้อทองคำ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯสดใส จูงใจให้เก็งว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นอีก ทำให้การลงทุนหลักทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์น่าสนใจกว่าทองคำ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับเงินตราสำคัญสกุลต่างๆ ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2548 เทียบกับวันที่ 12 พฤษภาคม 2548 (ตัวเลขในวงเล็บ) มีดังนี้
เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าเท่ากับ 1.2848 ดอลลาร์/ยูโร (1.2703 ดอลลาร์/ยูโร) 105.64 เยน (106.77 เยน) และ 1.8844 ดอลลาร์/ปอนด์ (1.8663 ดอลลาร์/ปอนด์)
ราคาทองคำในตลาดลอนดอน เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2548 เท่ากับ 426.50 ดอลลาร์/ออนซ์ เทียบกับราคา 425.10 ดอลลาร์/ออนซ์ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2548


