กรุงเทพฯ 20 กรกฎาคม 2548 – เอชพีประกาศแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ เพื่อลด ความ ซับซ้อนในระบบโครงสร้างการบริหารจัดการพร้อมทั้งช่วยลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพ ในการให้บริการแก่ลูกค้า เอชพีคาดว่าการปรับโครงสร้างในครั้งนี้ จะช่วยลดต้นทุนการประกอบการ ได้มากถึง 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี พร้อมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ และสร้างความเติบโตให้กับองค์กร
แผนการปรับโครงสร้างภายในองค์กรของเอชพีในครั้งนี้เป็นการผนวกฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด เข้าไปไว้ในทุกๆหน่วยธุรกิจ เพื่อเป็นส่วนเชื่อมต่อของธุรกิจในการให้บริการลูกค้า พร้อมทั้งปรับลด ค่าใช้จ่ายในส่วนของโครงสร้างหน่วยงานสนับสนุนธุรกิจและลดจำนวนของหน่วยงานที่ทำงาน ซ้ำซ้อน และทำการปรับแผนดำเนินการของเงินสนับสนุนภายหลังการเกษียณอายุของพนักงาน ในสหรัฐอเมริกา เพื่อให้พนักงานที่เกษียณอายุเหล่านี้สามารถนำเงินในส่วนนี้ไปลงทุนเพื่อให้ เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นการปรับโครงสร้างจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการบริหารกิจการภายในและช่วยลดความซับซ้อนในระบบโครงสร้างการบริหารจัดการ
มร.มาร์ค เฮิร์ด ประธานบริษัทฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเอชพีกล่าวว่า “ภายหลังจาก การพิจารณาและไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เอชพีพร้อมต่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง ครั้งสำคัญ เพื่อให้องค์กรเกิดความพร้อมในการนำเสนอสิ่งที่ดีต่างๆ ต่อ ลูกค้า หุ้นส่วนธุรกิจ พนักงานบริษัท และผู้ถือหุ้นของเอชพี”
การลดต้นทุน
เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย เอชพีจะทำการลดจำนวนพนักงานลงจำนวน 14,500 คน ซึ่งจะทำการภายใน 6 ไตรมาสข้างหน้าและคิดเป็นจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวน พนักงานประจำทั้งหมด อีกทั้งพร้อมดำเนินการปรับแผนของเงินสนับสนุนภายหลังการเกษียณอายุ ของพนักงานในสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 เอชพีจะสามารถ ลดต้นทุนการประกอบการได้มากถึง 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนของ การลดค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากในส่วนของเงินสนับสนุนด้านผลประโยชน์ของพนักงาน และภายในปีงบประมาณ
พ.ศ. 2549 เอชพีคาดว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 900 – 1.05 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ในส่วนของเงินที่ได้จากการลดต้นทุนดังกล่าว ครึ่งหนึ่งจะถูกนำไปชดเชยในส่วนที่สูญเสียไปหรือ นำไปลงทุนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเอชพี และในส่วนที่เหลือคาดว่าจะถูกนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อให้เกิดผลกำไร
เอชพีคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายของการปรับโครงสร้างภายใน 6 ไตรมาสข้างหน้าก่อนการหักภาษี ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเริ่มนับจากไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไม่รวมไปถึงค่าใช้จ่ายจำนวน 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ได้จ่ายไปแล้ว ในการปรับโครงสร้างในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ในส่วนของแผนการลดจำนวนพนักงานประจำ เอชพีได้ทำการไตร่ตรองอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เกิดผลกระทบขึ้นน้อยที่สุด การวางสัดส่วนของการลดจำนวนพนักงานได้กระทำโดยคำนึงถึง ความต้องการของลูกค้า และความมุ่งมั่นที่เอชพีมีต่อผลิตภัณฑ์และการให้บริการเป็นสำคัญ โดยการลดจำนวนพนักงานประจำในส่วนฝ่ายขายจะเกิดขึ้นน้อยที่สุด เพื่อให้เอชพีสามารถ รักษามาตรฐานในการให้บริการไว้ได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับพนักงานประจำในส่วนของ การพัฒนาและการวิจัย ซึ่งจะช่วยให้เอชพี สามารถรักษาสภานภาพความเป็นผู้นำในการ ค้นคว้าเทคโนโลยีและนำเสนอนวตกรรมได้อย่างต่อเนื่อง พนักงานประจำที่จะถูกลดจำนวนมากที่สุด
คือส่วนของ ฝ่ายไอที ฝ่ายบุคคล และฝ่ายการเงิน ในส่วนของการลดจำนวนพนักงานประจำ ที่เหลือจะกระทำภายในแต่ละหน่วยธุรกิจ เพื่อให้แต่ละหน่วยธุรกิจสามารถปฎิบัติงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถจัดการกับลำดับความสำคัญของงานได้อย่างมีประสิทธิผล และเพื่อเป็นการตอบสนองต่อการลดสัดส่วนจำนวนพนักงานดังกล่าว เอชพีจึงดำเนินการ เสนอแผนการเกษียณอายุแบบสมัครใจแก่พนักงานที่ประจำอยู่ในสหรัฐอเมริกา
สัดส่วนของแผนการลดจำนวนพนักงานประจำในแต่ละประเทศจะเกิดขึ้นต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ ข้อกฎหมาย และการให้คำปรึกษาจากคณะกรรมการหรือตัวแทนพนักงานในแต่ละประเทศ
นอกจากนี้ เอชพีได้เริ่มดำเนินการปรับแผนเงินสนับสนุนภายหลังการเกษียณอายุของพนักงาน ในสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มในปี พ.ศ. 2549 เอชพีจะทำการระงับเงินบำนาญและผลประโยชน์ทาง การแพทย์ของพนักงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์อายุและจำนวนปีที่ทำงาน ในขณะเดียวกัน เอชพีจะเพิ่ม สัดส่วนในการเพิ่มจำนวนเงินสนับสนุนของบริษัทในแผน 401K จาก 4 เปอร์เซ็นต์เป็น 6 เปอร์เซ็นต์
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่รวมถึงผลประโยชน์ของพนักงานในปัจจุบันที่ได้รับเมื่อใกล้วัยเกษียณ อายุ และพนักงานปัจจุบันยังคงได้รับผลประโยชน์จากบริษัทอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง
การปรับแผนโครงสร้างองค์กร
เอชพีจะทำการยุบกลุ่มธุรกิจ Customer Solutions Group (CSG) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่รับผิดชอบ ด้านการขายให้กับลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงลูกค้าภาครัฐ เพื่อลดความซับซ้อนในองค์กรของเอชพี และช่วยให้ฝ่ายพนักงานขายสามารถให้บริการและ ใกล้ชิดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเอชพีจะรวมหน้าที่ด้านการขายและความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องโดย ตรงเข้ากับกลุ่มธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจ Technology Solutions Group (TSG) กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ภาพและการพิมพ์ (Imaging and Printing Group – IPG) และกลุ่มธุรกิจ Personal Systems Group (PSG) เพื่อให้แต่ละกลุ่มธุรกิจสามารถควบคุมการบริหารการเงิน และการดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
แผนการปรับโครงสร้างดังกล่าวสืบเนื่องมาจากความพยายามในการสร้างความคล่องตัวให้กับ องค์กร ซึ่งรวมไปถึงการแบ่งแยกหน้าที่ต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยรวมกัน โดยเมื่อเดือนที่ผ่านมา เอชพีได้แยกบทบาทของประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดจากงานด้านการขาย และแยกกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ภาพและการพิมพ์กับกลุ่มธุรกิจเพอร์ซันนัลซิสเต็มส์ออกจากกัน และเมื่อสัปดาห์ก่อน เอชพีได้แยกงานกลุ่มปฏิบัติการออกจากหน่วยงานด้านไอที
การเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้บริหาร
โดยการยุบกลุ่มธุรกิจ Customer Solutions Group เป็นผลให้ มร. ไมเคิล เจ. วิงค์เลอร์ วัย 60 ปี เกษียณจากตำแหน่งรองประธานบริหารกลุ่มธุรกิจ Customer Solutions Group หลังจากทำงาน กับเอชพีและคอมแพคมาเป็นเวลา 10 ปี และอยู่ในอุตสาหกรรมไอทีมานานกว่า 35 ปี แต่ทว่าจะมีการเพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่ด้านการขายอาวุโสเข้าไปในแต่ละกลุ่มธุรกิจ
นอกจากนั้น เอชพียังได้เลือกรองประธานบริหารสามท่านให้ร่วมเป็นสมาชิก ของคณะกรรมการ บริหารบริษัท ปัจจุบันจึงมีคณะกรรมการบริหารทั้งหมด 10 ท่าน หลังจากที่ มร. วิงค์เลอร์ เกษียณจากตำแหน่ง
มิสแคธี่ ลีออนส์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารของเอชพีมากว่า 26 ปี ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด มร. ท็อดด์ แบรดลีย์ อดีตประธานบริษัทฯ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของปาล์มวัน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารกลุ่มธุรกิจ Personal Systems Group มร. แรนดี้ ม็อตต์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศของ เดลล์และวอลมาร์ทมาเป็นเวลากว่า 22 ปี ได้รับเลือกให้ร่วมงานกับเอชพีในตำแหน่งรองประธาน บริหารและประธาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ
มร. เฮิร์ด กล่าวสรุปว่า “วัตถุประสงค์หลักคือการนำมาตรการในการปรับโครงสร้างมาปฏิบัติให้ ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยพยายามให้มีผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บริษัทชั้นนำจะต้อง เติบโตพร้อมความสามารถในการลดต้นทุน ซึ่งเอชพีจะต้องบรรลุจุดประสงค์ทั้งสองประการนี้ให้ได้”
เกี่ยวกับเอชพี
เอชพีเป็นผู้นำระดับโลกในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี โซลูชั่น และการให้บริการแก่ ลูกค้าระดับคอนซูเมอร์และองค์กรธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และอุปกรณ์ต่อพ่วง การให้บริการครอบ คลุมทั่วโลก และผลิตภัณฑ์ภาพและการพิมพ์ ณ วันที่ 30 เมษายน 2548 เอชพีมีรายได้รวมทั้งสิ้น 83,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเอชพี ได้ที่ http://www.hp.com