ภายหลังจาก บริษัท เอเชียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไประหว่างวันที่ 16-18 สิงหาคม 2548 จำนวน 23 ล้านหุ้น รวมกรีนชู 3.5 ล้านหุ้น รวมทั้งหมด 26.5 ล้านหุ้น ราคาจองซื้อ 8.90 บาท พาร์ 5 บาท รวมมูลค่าระดมทุน 204.70 ล้านบาท ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น 575 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนชำระแล้วเดิมที่ 460 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์จำนวน 5 แห่ง ทำการประเมินราคาพื้นฐานของ ASK ให้ราคาสูงสุด 14.5 บาทจากราคาจองซื้อที่ 8.90 บาท โดยบริษัทหลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ผู้ร่วมจัดจำหน่ายให้ราคาที่เหมาะสมหุ้น ASK ระหว่าง 11.50-14.50 บาท โดยคิดเทียบจากอัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พีอี) ในปีนี้ที่ 8-10 เท่า และมีอัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 1.44 บาทต่อหุ้น จากประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 20 ปี และทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ กลุ่มเอเซียเสริมกิจลีสซิ่งถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ แฟคตอริ่ง ลีสซิ่ง ทั้งรถยนต์และเครื่องจักรในอุตสาหกรรม
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) ผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น ASK อยู่ในช่วง 12.1-13.4 บาท อิงค่าพีอีที่ 9-10 เท่า โดยมองว่าการประกอบธุรกิจที่หลากหลายของ ASK ซึ่งมีทั้งบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เครื่องจักร สินเชื่อลีสซิ่ง และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ทำให้บริษัทสามารถกระจายความสี่ยงและลดความผันผวนของธุรกิจได้ระดับหนึ่ง และคาดการณ์ว่าพอร์ตสินเชื่อรวมของ ASK เติบโตเฉลี่ยปีละ 16% ต่อปี ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากยอดขายรถยนต์ในประเทศ โดยเฉพาะตลาดรถกระบะ และภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่คาดว่าจะยังมีการขยายตัวอยู่นั่นเอง
บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นได้ให้ราคาเหมาะสมที่ 11.70 บาท ค่าพีอีปีนี้ที่ 8.5 เท่า ซึ่งถือว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเชื่อว่า ASK มีความสามารถในระยะยาวในการรักษาระดับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 15.6% และเมื่อเทียบราคาต่อมูลค่าทางบัญชีปันี้ที่ 1.45 เท่า ราคาตามมูลค่าบัญชีที่ 8.10 บาท
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ ASK กล่าวว่า นอกจาก ASK จะมีธุรกิจที่หลากหลาย การที่ ASK มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ 2 รายคือ กลุ่มคู และกลุ่มธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุน และเครือข่ายฐานลูกค้ากับ ASK มีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น
นอกจากนั้น ในการประกอบธุรกิจ ASK สามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ไว้ได้มากกว่า 6% มาตลอด และสูงสุดที่สุดในจำนวนผู้ประกอบการที่ให้สินเชื่อรถยนต์ใหม่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 ถึงแม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานานช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม โดยมูลค่าพื้นฐานของ ASK ในปี 2548 พีอีควรอยู่ที่ระดับ 8.0-8.5 เท่า และราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ควรอยู่ที่ระดับ 1.30-1.35 เท่า
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด ผู้ร่วมจัดจำหน่าย ให้ราคาที่เหมาะสมของ ASK ระหว่าง 8.10-10.50 บาท โดยมองว่า ASK เป็นบริษัทที่มีโครงสร้างด้านเงินทุนที่แข็งแกร่ง ภายหลังการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ดีอี) ลดลงจาก 8.6 เท่า เหลือ 6.2 เท่า ในสิ้นปีนี้